วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2556

ใส่ชื่อบนกระป๋องโค้ก





ชื่อเล่นยอดนิยมของคนไทย อย่าง “ตุ๊ก เอก เตย ไอซ์ เปิ้ล …” กำลังไปอยู่บนกระป๋องโค้ก รวมถึงคำเก๋ๆ อย่าง “คนน่ารัก” หรือ คำเรียกขานสรรพนาม “แม่ แฟน พี่ชาย พี่สาว คนสวย ให้คนไทยได้หาซื้อและแชร์กันในโลกออนไลน์ เพราะนี่คือ ส่วนหนึ่งของแคมเปญ “Share a Coke” ที่โค้กเริ่มทำมาแล้วทั่วโลก 
                                    


แคมเปญ Share a Coke เริ่มต้นที่ประเทศออสเตรเลียในปี 2554 เป็นประเทศแรก ด้วยการพิมพ์ชื่อคนออสเตรเลียที่นิยมนำมาตั้งชื่อมากที่สุด 150 ชื่อ ตัวอย่างชื่อ เช่น Luck, Kate, Matt, Rebecca, Joel, Vanessa, Anna ฯลฯ โดยครีเอทีฟเจ้าของไอเดียนี้ก็คือ โอกิลวี่ แอนด์ เมเธอร์ ที่คิดแคมเปญนี้เพื่อต้องการให้ผู้บริโภครู้สึกสนุกในการหาชื่อคนรู้จัก และรู้สึกสนุกที่ได้เอาขวดโค้กที่มีชื่อนั้นไปแชร์กัน 



ปรากฏว่าประสบผลสำเร็จในยุคดิจิตอล บางคนก็เจอชื่อตัวเอง หรือชื่อเพื่อน ทำให้เกิดการบอกแชร์ต่อ ส่งผลให้ยอดเฟซบุ๊กแฟนเพจในออสเตรเลียโตขึ้น 39% การ Talk about this เป็นลำดับที่ 23 ของโลก และมีการแชร์กระป๋องโค้กถึง 76,000 ครั้ง! 

ส่วนในไทย โคคา-โคลา ประเทศไทย ได้เริ่มชิมลางแคมเปญ “Share a Coke” เมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ด้วยกระป๋องโค้กต้อนรับวันแม่แห่งชาติ โดยมีคำว่า “แม่” อยู่บนกระป๋องโค้ก และทำให้เกิดการแชร์บนโลกออนไลน์มาบ้างแล้ว 

ส่วนในไทยเอง หลังจากวันแม่ที่ผ่านมาโค้กได้วางจำหน่ายกระป๋องโค้ก ที่มีคำว่า “แฟน” “พี่ชาย พี่สาว คนสวย” ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โค้กได้พิมพ์ชื่อยอดนิยมอีกเช่นกันลงบนฉลากขวด PET เช่น เตย เอก เปิ้ล ปิยะ ไอซ์ เป็นต้น ตอนนี้ได้วางจำหน่ายแล้วที่เซเว่น อีเลฟเว่น โลตัส และแม็คโคร 




และเวลานี้ได้กลายเป็นกระแส “ไวรัล” เกิดการแชร์ในโลกออไลน์แล้ว โดยมีการทำ แฮชแท็ค #coke #shareacketh ในเฟซบุ๊ก และ Instagram จะเห็นว่ามีทั้งคนไทยและคนต่างประเทศต่างแชร์ชื่อตนเองหรือคนรู้จักกันมากมาย 



แต่ก่อนที่จะลอนซ์แคมเปญนี้สู่ผู้บริโภคในประเทศไทยอย่างจริงจัง ทางโค้กเองได้เริ่มทำจากภายในองค์กรก่อน นั่นคือการนำชื่อพนักงานแต่ละคนในสำนักงานมาใส่ในกระป๋องโค้ก ถึงจะเป็นแค่ส่วนเล็กๆ น้อยๆ แต่การแชร์ภาพเหล่านั้นก็ถือว่าเป็นกระบอกเสียงชิ้นดีที่ทำให้คนภายนอกติดตามต่อไปได้ทีเดียว 

ภาพและข้อมูลจาก http://www.positioningmag.com/และhttp://gotcha.co.th/

สร้างคฤหาสน์มนุษย์ค้างคาว คล้ายกับคฤหาสน์ของบรู๊ซ เวยน์



           มีรายงานข่าวว่าที่รัฐอริโซน่า สหรัฐอเมริกาได้มีการสร้างคฤหาสน์มนุษย์ค้างคาว 
คล้ายกับคฤหาสน์ของบรู๊ซ เวยน์ หรือแบทแมน 



              คฤหาสน์หลังนี้สร้างโดยนายนิค สตอนตากิส สถาปนิกชาวสหรัฐซึ่ง
มีข้อมูลระบุว่า คฤหาสน์มนุษย์ค้างคาวตั้งอยู่บนภูเขาแห่งหนึ่งมองลงมาสามารถ
เห็นวิวของเมืองได้อย่างงดงาม มีลิฟต์ สระว่ายน้ำปรับอุณหภูมิของน้ำในสระได้ 
มีห้องโถงใหญ่ราว 2,000 ตร.ฟุต  ซึ่งใจกลางของภูเขาลูกนี้ถูกเจาะทำเป็นห้องต่างๆ 
เช่น ห้องนอน ห้องเล่นเกมส์ ห้องออกกำลังกาย ห้องสมุด โรงเก็บรถยนตร์ 


            และคฤหาสน์หลังนี้ใช้งบประมาณในการก่อสร้างกว่า 30 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ 
และมีการประกาศขายให้กับผู้ที่สนใจ

เกาหลีใต้เตรียมผุด “หอคอยล่องหน” แห่งแรกในโลกที่กรุงโซล

หลังรอคอยมานานหลายปี ในที่สุดทางการเกาหลีใต้ก็ออกใบอนุญาติให้ บริษัท จีดีเอส อาร์คิเท็คส์
ดำเนินการก่อสร้างหอคอยล่องหนแห่งแรกในโลก ภายใต้ชื่อ ”ทาวเวอร์ อินฟินิตี้”  ซึ่งจะมีความสูงถึง 
450 เมตร จ่อขึ้นแท่น 1 ใน 10 สิ่งปลูกสร้างสูงที่สุดในโลก



ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โปรเจ็คยักษ์ริมแม่น้ำฮัน ”ยองซาน อินเตอร์เนชั่นแนล บิสสิเนส ดิสทริคท์ 
(Yongsan International Business District)” หรือ “ยองซานดรีมฮับ”  จะเต็มไปด้วยตึกสูงรูปทรง
แปลกๆ และหนึ่งในนั้นก็คือ ”ทาวเวอร์ อินฟินิตี้” ซึ่งได้รับการออกแบบให้เป็น “หอคอยล่องหน” 
ที่สามารถอวดโฉมหรือหายวับไปได้ในชั่วพริบตา

หอคอยดังกล่าวชนะการประกวดออกแบบในระดับนานาชาติ เมื่อปี ค.ศ. 2008 ออกแบบโดยบริษัท
 “จีดีเอส อาร์คิเทคส์”  เจ้าของโครงการคือ “โคเรีย แลนด์ แอนด์ เฮ้าซิ่ง คอร์ปอเรชั่น”  ซึ่งเป็น
องค์กรของรัฐบาลที่มีหน้าที่พัฒนาที่ดิน เคหะชุมชน และอาคารสาธารณะ สาเหตุที่เลือกผุดโปรเจ็ค
 “หอคอยล่องหนแห่งแรกในโลก” ก็เพื่อเป็นการประกาศศักดาและแสดงนวัตกรรมอันโดดเด่น
ทางด้านเทคโนโลยีของเกาหลีให้เป็นที่ประจักษ์และกล่าวขานไปทั่วโลก ผ่านทางการนำเสนอ
หอคอยรูปแบบใหม่ๆ ที่มีความโดดเด่น แปลกใหม่ ไม่ซ้ำที่ใด

                          


“ทาวเวอร์ อินฟินิตี้” มีความโดดเด่นและแตกต่างจากหอคอยทั่วโดยไป เพราะตั้งอยู่ภายในโครงสร้าง
กระจก แม้จะมีความสูงถึง 450 เมตร และมีจุดชมวิวสูงเป็นอันดับสามของโลกที่ระดับความสูง 392 เมตร 
แต่ความสูงไม่ใช่จุดขายของหอคอยแห่งนี้ หากเป็นเทคโนโลยีในการสร้างภาพลวงตาด้วยระบบ
ดิจิตอลอันล้ำสมัย โดยจะติดตั้งกล้องไว้ที่ผนังโครงสร้างกระจกด้านนอกทั้ง 6 มุม บนความสูงที่
แตกต่างกัน 3 ระดับเพื่อจับภาพรอบด้านแบบเรียลไทม์ภายใต้ระบบดิจิตอล  ภาพทั้งหมดที่ได้จะถูก
ปรับมาตราส่วนและทิศทาง ก่อนนำมาผสานรวมกันเพื่อให้ได้ภาพที่กลมกลืนและเป็นหนึ่งเดียวกับ
วิวรอบด้านแบบไร้รอยต่อ หลังจากนั้นภาพทั้งหมดจะถูกฉายลงบนจอแอลอีดีบริเวณผนังด้านหน้า
ซึ่งแบ่งการทำงานออกเป็น 3 ส่วนด้วยกัน (บน-กลาง-ล่าง) แต่ละส่วนประกอบด้วยแผงหลอดไฟ
แอลอีดี 500 แถว ซึ่งจะแสดงภาพดิจิตอลแบบเป็นอิสระต่อกัน
ด้วยเหตุนี้ เวลามองไปที่หอคอยดังกล่าวขณะอยู่ในโหมด ‘ล่องหน’ เราจึงเห็นภาพที่ถูกส่งมาจาก
กล้องทางด้านหลังซึ่งกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมจนดูเหมือนว่าหอคอยตรงหน้าหายไป แต่ลูกเล่น
ของหอคอยที่ว่ายังไม่หมดเพียงแค่นั้น เพราะผู้ควบคุมสามารถปรับระดับการล่องหนของหอคอยได้ 
(เช่น หายแบบลางเลือน หรือหายไปเลย) นอกจากสร้างภาพลวงตาแล้ว จอแอลอีดีของหอคอยยัง
สามารถแสดงแสงสี ถ่ายทอดรายการสำคัญหรือกิจกรรมพิเศษต่างๆ ทั้งยังใช้เป็นสื่อโฆษณาได้ด้วย
 ประโยชน์อีกอย่างของการสร้างหอคอยล่องคนก็คือ “ไม่บดบังทัศนียภาพ” ถึงแม้จะตั้งตระหง่าน
ด้วยความสูงถึง  450 เมตรก็ตาม


หลังก่อสร้างแล้วเสร็จ “ทาวเวอร์ อินฟินิตี้” จะกลายเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ใจกลางย่านธุรกิจ 
โดยจะถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับจัดกิจกรรมและนันทนาการ ภายในประกอบด้วย จุดชมวิว
หลากหลายจุด, โรงภาพยนตร์ 4D, รถไฟเหาะ, สวนน้ำ, สถานที่จัดงานแต่งงาน ตลอดจน
ร้านขายอาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น และเนื่องจากหอคอยแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้สนามบินนานาชาติ
อินชอน ผู้โดยสารจึงต้องคอยลุ้นว่าจะเห็นหอคอยดังกล่าวจากบนเครื่องบินหรือไม่

   แม้จะยังไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า “ทาวเวอร์ อินฟินิตี้” มีกำหนดแล้วเสร็จเมื่อไหร่ 
แต่หอคอยแห่งนี้ก็เตรียมขึ้นแท่นหอคอยสูงอันดับ 6 ของโลกแทนที่หอคอย “มิหลาด ทาวเวอร์
 (Milad Tower)” ในกรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน ซึ่งมีความสูง 435 เมตร และยังจะได้ชื่อว่าเป็น
 1 ใน 10 สิ่งปลูกสร้าง (นับรวมหอคอยและตึก) สูงที่สุดในโลกอีกด้วย (หากไม่มีตึกหรือหอคอย
ใดทุบสถิติแซงหน้าเสียก่อน)

ภาพและข้อมูลจาก http://gotcha.co.th/ 

จีนเปิดสนามบินแห่งใหม่ที่สูงที่สุดในโลก




 จีนเปิดสนามบินพลเรือนแห่งใหม่ที่สูงที่สุดในโลก เพื่อดึงดูดการท่องเที่ยว และเริ่มให้บริการ
เที่ยวบินแล้วเช่นกัน สนามบิน เต้าเฉิง หย่าติ้ง ซึ่งมีความสูงกว่าระดับน้ำทะเล 14,472 ฟุต 
ได้เข้ามาครองตำแหน่งสนามบินที่สูงที่สุดในโลก แทนสนามบิน บังดา ในเขตปกครอง
ตนเองของทิเบต ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 14,219 ฟุต การที่อยู่บนที่สูงทำให้ใช้แรงขับ
ของเครื่องยนต์น้อยกว่าการลงจอดปกติ เนื่องจากอากาศเบาบางกว่า ทั้งยังมีรันเวย์ที่ยาว
 4,200 เมตร สั้นกว่ารันเวย์ของสนามบินนานนาชาติ จอห์น เอฟ เคนเนดี้ ในนิวยอร์ค 
ที่ได้ชื่อว่ายาวที่สุดในโลกแค่ 242 เมตรเท่านั้น




 สื่อมวลชน ระบุว่าเที่ยวบินจากสนามบินแห่งใหม่ เริ่มให้บริการแล้วตั้งแต่วันจันทร์ 
ซึ่งลดเวลาการเดินทางจากเต้าเฉิง หย่าติง ไปยังเมืองเฉิงตู ของมณฑลเสฉวน 
เหลือแค่ 65 นาที จากที่เดิมต้องอาศัยรถประจำทางที่ใช้เวลาถึง 2 วัน



ภาพและข้อมูลจาก http://gotcha.co.th

วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2556

เหมียวอังกฤษรอดปาฏิหาริย์ หลังถูกปั่นอยู่ในเครื่องซักผ้า เกือบชั่วโมง

         ลูกแมวน้อยรอดตายปาฏิหาริย์ หลังถูกปั่นอยู่ในเครื่องซักผ้านาน 50 นาที 
เพราะแอบปีนเข้าไปเล่นในเครื่องซักผ้าตอนเจ้าของนำผ้าใส่เครื่อง

          เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2556 เว็บไซต์เดลี่เมลของอังกฤษ มีรายงานว่า ป็อปเปท 
ลูกแมวเพศเมีย อายุ 7 สัปดาห์ รอดตายปาฏิหาริย์ หลังถูกปั่นอยู่ในเครื่องซักผ้านานถึง 
50 นาที หลังจากที่มันแอบปีนเข้าไปในเครื่องซักผ้าระหว่างที่เจ้าของมันเผลอ

          โดย ลอว์ร่า กิลโฮม วัย 27 ปี จากแมนเชสเตอร์ ทางตอนเหนือของอังกฤษ เจ้าของ
ป็อปเปท เผยว่า ป็อปเปทซ่อนตัวอยู่ในบริเวณห้องซักรีด ก่อนที่มันจะแอบปีนเข้าไป
ในช่วงที่เธอนำผ้าใส่เครื่องโดยที่เธอไม่รู้ตัว ซึ่งกว่าเธอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับ
มันก็ตอนที่เครื่องซักผ้าทำงานเสร็จแล้วและเธอเปิดฝาเครื่องออกมา

          ในตอนที่เธอพบมัน ป็อปเปทหมดสติไปแล้ว เธอและเพื่อนบ้านจึงได้รีบพามัน
ไปยังโรงพยาบาลสัตว์ที่อยู่ใกล้ ๆ ซึ่งระหว่างทางนั้นป็อปเปทไม่มีการตอบสนองใดๆเลย
จนพวกเธอคิดว่ามันคงไม่รอดแล้ว แต่โชคดีอย่างมากที่สัตวแพทย์ จอห์น กันน์ 
สามารถช่วยชีวิตของมันไว้ได้ ทั้งยังช่วยดูแลจนมันกลับมาหายดีดังเดิม

          ด้าน สัตวแพทย์ จอห์น กันน์ เผยว่า ป็อปเปทนั้นโชคดีอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะ
แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังคิดว่ามันอาจไม่มีหวังแล้วก็ได้ แต่หลังจากผ่านการผ่าตัดข้ามคืน 
และการพักฟื้นอีกกว่า 48 ชั่วโมง มันก็เริ่มทานอาหารและกลับบ้านได้ในที่สุด

          อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเพิ่งผ่านความตายมาอย่างฉิวเฉียด แต่ดูเหมือนว่า
ป็อปเปทจะยังเล็กเกินกว่าที่จะรู้จักเข็ด เพราะทันทีที่ลอว์ร่าพามันกลับมาที่บ้าน 
เจ้าป็อปเปทก็รีบกระโดดตรงเข้าไปอยู่ในเครื่องซักผ้าในทันที แต่ถึงอย่างนั้นลอว์ร่า
ก็ยังยินดี เพราะนั่นหมายความว่าลูกแมวน้อยของเธอกลับมาแข็งแรงและซุกซน
ตามเดิมแล้วนั่นเอง

ภาพจากอินเทอร์เน็ต และข้อมูลจาก http://pet.kapook.com

สัตวแพทย์นิวซีแลนด์ใช้เลือด"สุนัข"ช่วยชีวิต"แมว"

                   สัตว์ที่เป็นคู่อริกันตลอดกาลอย่างสุนัขและแมวกลับมาเป็นมิตรกันชั่วคราว
เมื่อมีการนำเลือดของสุนัขไปช่วยเหลือชีวิตแมวตัวหนึ่งในนิวซีแลนด์




สัตวแพทย์คนหนึ่งใช้เลือดของสุนัขช่วยชีวิตแมวตัวหนึ่งซึ่งกินยาเบื่อหนูเข้าไป
และจำเป็นต้องได้รับการถ่ายเลือดอย่างเร่งด่วน

คิม เอ็ดเวิร์ด หญิงชาวนิวซีแลนด์ รีบพาแมวของเธอที่ชื่อ"โรรี" อายุ 7 ปี ไปที่คลินิก
สัตว์ในเมืองทารองกา บนเกาะเหนือ หลังจากที่แมวมีอาการเหนื่อยอ่อนจากการกินยา
เบื่อหนูเข้าไป

สัตวแพทย์เคท เฮลเลอร์กล่าวว่า อาการของแมวตัวนี้ทรุดเร็วมากและจำเป็นต้องได้รับ
การถ่ายเลือดโดยทันทีเพื่อช่วยชีวิต แต่ก็ไม่มีเวลาพอที่จะส่งตัวอย่างเลือดของแมว
ไปทดสอบที่ห้องแล็บเพื่อระบุหมู่เลือด เพื่อหาแมวที่มีกลุ่มเลือดเดียวกัน

เธอตัดสินใจเสี่ยงใช้เลือดของสุนัขเพื่อช่วยชีวิตแมว โดยทราบดีว่ามันจะตายทันที
หากเธอให้เลือดผิดหมู่ ต่อมาเธอได้โทรหาเพื่อน ที่อาสาพาสุนัขพันธุ์ลาบราดอร์สีดำ 
ที่ชื่อ"เมซี" มาบริจาคเลือดเพื่อช่วยชีวิตแมวตัวนี้ แม้ว่าจะไม่เคยใช้วิธีนี้มาก่อนและ
มีโอกาสเสี่ยงมากก็ตาม

อย่างไรก็ตาม กระบวนการเปลี่ยนถ่ายเลือดให้กับแมวตัวดังกล่าวสำเร็จลุล่วงด้วยดี
โดยได้รับคำแนะนำจากธนาคารเลือดที่เมืองพาลเมอร์สตันนอร์ธ และขณะนี้มัน
กลับมาเป็นปกติแล้ว โดยไม่มีผลข้างเคียงจากเลือดสุนัขแต่อย่างใด เฮลลเอร์กล่าวว่า 
ตามปกติแล้ว การถ่ายเลือดข้ามชนิดของสัตว์เป็นสิ่งที่ไม่มีใครทำ และเธอเองก็
ไม่แนะนำวิธีนี้ แต่ในสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ เธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมเสี่ยง

ภาพและข้อมูลจากhttp://www.matichon.co.th/

วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

แพทย์จีนปลูกจมูกที่หน้าผากคนไข้



เมื่อวันที่ 26 ก.ย.56  เว็บไซท์ เอบีซี นิวส์ รายงานว่า หลังจากชายชาวจีนวัย 22 ปี 
ที่ถูกระบุชื่อเพียงว่า เสี่ยวเหลียนที่จมูกเสียหายจนไม่สามารถแก้ไขได้เพราะติดเชื้อ 
แพทย์ได้ตัดสินใจปลูกจมูกที่สองให้ใหม่ ที่หน้าผากของเขา เพื่อจะเอาไปแทนที่จมูกเดิม

          สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า ผู้ป่วยรายนี้ มีอาการจมูกเสียหายอย่างหนักเพราะติดเชื้อ 
หลังประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ แพทย์ของเขาตัดสินใจใช้วิธีการสร้างจมูกให้ใหม่ที่หน้าผากของเขา 
เพื่อเอาไปแทนที่จมูกเดิม โดยคณะแพทย์ได้ใส่ตัวขยายผิวหนัง (Tissue expanders) ไว้ใต้ผิวหนัง 
ก่อนจะตัดไปปลูกถ่ายเป็นจมูกใหม่ ซึ่งแพทย์คาดว่าจะดำเนินการในเร็ว ๆ นี้

          ดร.แพทริค ไบเอิร์น ผู้อำนวยการด้านการศัลยกรรมพลาสติกและฟื้นฟูใบหน้า ของศูนย์
การแพทย์จอห์น ฮอปกิ้นส์ ให้ความเห็นว่า ที่คณะแพทย์จีนใช้ผิวหนังที่หน้าผากมาสร้างจมูกใหม่ 
ก็เพราะว่า เป็นผิวที่ใกล้เคียงกับผิวจมูกมากที่สุด ซึ่งมันจะเป็นจมูกที่แท้จริงและใช้หายใจได้ด้วย

          นอกจากใช้จมูกที่ปลูกถ่ายที่หน้าผากแล้ว แพทย์ยังต้องใช้กระดูกอ่อนซี่โครงมาทำเป็น
โครงสร้างให้กับจมูกด้วย แต่ก็เชื่อว่า จมูกใหม่ของเสี่ยวเหลียนจะเปราะบางมากในช่วง 18 เดือน
หลังการปลูกถ่าย ถ้าเขาเกิดไปติดเชื้อเพียงเล็กน้อย กระดูกอ่อนก็อาจสลายตัวได้ และตราบใด
ที่เสี่ยวเหลียนสามารถหลีกเลี่ยงการเกิดอาการแทรกซ้อนได้ จมูกใหม่ของเขาก็น่าจะทำงานได้ดี
ใกล้เคียงกับจมูกเดิม เขาน่าจะสามารถดมกลิ่นได้ ซึ่งในอนาคต คณะแพทย์อาจจะสามารถปลูกถ่าย
ใบหูหรือจมูกในห้องแลปก่อนผ่าตัดให้คนไข้ได้ เช่นกัน โดยสามารถเอาตัวอย่างจากผิวหนังและ
เซลล์จากดีเอ็นเอ และกระดูกอ่อน และใช้เซลล์เหล่านี้ มาเพาะเลี้ยงเป็นโครงสร้างทั้งหมด 
ก่อนจะเอาไปปลูกถ่ายให้คนไข้


ภาพจาก http://newsfeed.time.comและข้อมูลจากhttp://www.oknation.net

พบแล้ว! ตัวสังหารกวางน้อย


      เมื่อเกือบ 2 ปีที่แล้ว ทีมนักวิจัยเจอกวางน้อยในป่ารัสเซียตายปริศนา พวกเขาไม่พบ
ร่องรอยสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่บนพื้นหิมะ มีเพียงร่องรอยของกวางวิ่งแล้วหยุด และตาย 

กระทั่งพวกเขากลับไปยังแคมป์ แล้วได้เห็นภาพจากกล้องดักถ่าย เมื่อประติดประต่อ
เหตุการณ์ทั้งหมด พวกเขาแทบไม่เชื่อสิ่งที่เห็น
       
       ร่างของลูกกวางจีน (sika deer) เมื่อเดือน ธ.ค.2011 ระหว่างติดตั้งกล้องดักถ่ายไว้ในเขต
สงวนธรรมธาติรัฐลาโซฟสกี (Lazovsky State Nature Reserve) ในตะวันออกไกลของรัสเซีย
 เพื่อบันทึกภาพถิ่นอาศัยและการเคลื่อนย้ายของเสือไซบีเรียที่ใกล้สูญพันธุ์
       
       ลินดา เคอร์ลีย์ (Linda Kerley) นักอนุรักษ์จากสมาคมสัตววิทยาลอนดอน (Zoological Society 
of London: ZSL) ย้อนเหตุการณ์ในอดีตให้ไลฟ์ไซน์ฟังว่า เมื่อไปเจอซากกวงก็รู้สึกได้ทันทีว่า 
มีบางอย่างผิดปกติ
       
       "ตอนนั้นไม่มีร่องรอยของสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่ในพื้นหิมะเลย และดูเหมือนว่า 
กวางตัวนั้นวิ่งมาเรื่อยๆ แล้วก็หยุดและตาย หลังจากที่เรากลับไปแคมป์ที่ฉันได้ตรวจดูภาพ
จากกล้องและประติดประต่อทุกอย่างเข้าด้วยกัน ฉันแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ฉันเห็น” เคอร์ลีย์ 
ซึ่งดำเนินโครงการติดตั้งดักถ่ายของสมาคมสัตววิทยากล่าว
       

       ภาพจากกล้องดักถ่ายเผยให้เห็นเหตุการณ์เพียง 2 วินาทีของการจู่โจมด้วยภาพถ่ายเพียง 3 ใบ 
แต่ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า อินทรีทองที่โตเต็มที่โฉบหลังกวางน้อย
       
       “ฉันทำหน้าที่ประเมินสาเหตุการตายของกวางในรัสเซียมา 18 ปี นี่เป็นครั้งแรกที่ฉัน
ได้เห็นอะไรแบบนี้” เคอร์ลีย์กล่าว
       
       ข้อมุลจากไลฟ์ไซน์ระบุว่า อินทรีทองเมื่อโตเต็มที่จะหนักได้ถึง 5.4 กิโลกรัม และมีปีกที่กว้าง
ประมาณ 2.3 เมตร แม้ว่าโดยปกติพวกมันจะไม่ล่ากวาง แต่นกนักล่านี้ก็มีความทะเยอทะยานในการ
จู่โจมสัตว์ใหญ่ แต่ไม่มีข้อมูลว่านกชนิดนี้จู่โจมมนุษย์ด้วย แม้จะมีคลิปวิดีโอลวงออกมาอยู่เนืองๆ
       
       “รายงานทางวิทยาศาสตร์เต็มไปด้วยข้อมูลอ้างอิงว่าอินทรีทองจู่โจมสัตว์หลายชนิดจากทั่วโลก 
ตั้งแต่กระต่ายซึ่งเป็นเหยื่อปกติของนกชนิดนี้ ไปจนถึงหมาป่าโคโยตีและกวาง และแม้กระทั่งลูกหมี
สีน้ำตาลซึ่งมีรายงานว่าอินทรีโฉบเอาหมีดังกล่าวเมื่อปี 2004” โจนาธาน สลัฟท์ (Jonathan Slaght) 
จากสมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่า (Wildlife Conservation Society: WCS) ร่วมให้ข้อมูล
       
       “ในกรณีนี้ผมว่าลินดามีโชคจริงๆ และสามารถบันทึกเหตุการณ์ล่าเหยื่อที่ไม่พบได้บ่อยนัก” 
สลัฟท์กล่าว โดยเขาและเคอร์ลีย์ได้ร่วมกันเขียนรายงานถึงเหตุการณ์ดังกล่าวลงในวารสาร
เจอร์นัลออฟแรพเตอร์รีเสิรช (Journal of Raptor Research) ฉบับประจำเดือน ก.ย.นี้


ภาพและข้อมูลจาก http://www.manager.co.th/

“คางคก” แบบนี้มีด้วยหรือ?

ภาพที่เห็นนี้เป็นภาพจริง ไร้การตัดต่อ ไร้โฟโตชอป และไม่ใช่คางคกพันธุ์ใหม่
แต่เป็นคางคกที่กำลังกินค้างคาว ซึ่งหน่วยลาดตระเวนบังเอิญบันทึกภาพ
ไว้ได้ภายในอุทยานแห่งชาติของเปรู ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก
สำหรับการตกเป็นเหยื่อของค้างคาว

       ยูฟานิ โอลายา (Yufani Olaya) หน่วยลาดตระเวณป่าทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเปรู บันทึกภาพขณะคางคกยักษ์ (cane toad) กำลังเคี้ยวค้างคาว ระหว่างเขาปฏิบัติหน้าที่ลาดตระเวนภายในอุทยานแห่งชาติเซร์โรสเดอาโมทาเป (Cerros de Amotape National Park) ของเปรู
       
       ไลฟ์ไซน์รายงานว่า โอลายาส่งภาพถ่ายให้ ฟิล ตอร์เรส (Phil Torres) นักชีววิทยาที่ทำงานอยู่ในศูนย์วิจัยทัมโบพาตา (Tambopata Research Center) ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยในลุ่มน้ำอเมซอนในเขตเปรู โดยความเห็นจากนักชีววิทยาระบุว่า ภาพดังกล่าวอาจจะเป็นภาพแรกของคางคกยักษ์ขณะกินค้างคาวก็ได้
       
       ค้างคาวเคราะห์ร้ายในภาพน่าจะอยู่ในวงศ์ค้างคาวปากย่น (free-tailed bat) ซึ่งอาจจะเป็นค้างคาวปากย่นขนกำมะหยี่ (velvety free-tailed bat) หรือ มอลอสซุส มอลอสซุส (Molossus molossus) ซึ่งมีอยู่ทั่วไปทางภาคเหนือของอเมริกาใต้ และตอร์เรสยังให้ข้อมูลแก่ไลฟ์ไซน์อีกว่า ยังมีตัวอย่างการพบคางคกชนิดอื่นกินค้างคาวปากย่นในบราซิลด้วย
       
       คางคกยักษ์ได้ชื่อว่าเป็นจอมเขมือบที่ฉวยโอกาส และเป็นที่ทราบดีด้วยว่านักกินที่ตะกละ ซึ่งลักษณะเด่นดังกล่าวทำให้มันกลายเป็นเผ่าพันธุ์รุกรานที่มีชัยในพื้นที่อย่างออสเตรเลีย แต่ตอร์เรสกล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นไม่ค่อยพบได้บ่อยนัก ที่จะเห็นคางคกกินค้างคาว ซึ่งปกติจะบินอยู่ห่างไกลจากพื้นดินที่มีคางคกกระโดดหากินอยู่ แต่ในกรณีนี้ค้างคาวน่าจะบินเข้าปากคางคกเอง โดยค้างคาวน่าจะบินโฉบแมลงที่ใกล้พื้นดิน และคางคกก็ได้ลาภปาก
       
       ด้าน ราเชล เพจ (Rachel Page) นักวิจัยจากสถาบันวิจัยเขตร้อนสมิทโซเนียน (Smithsonian Tropical Research Institute) ในปานามา ซึ่งไม่มีส่วนในการสังเกตครั้งนี้ ให้ข้อมูลว่าทราบกันอยู่แล้วว่าคางคกก็กินค้างคาว แต่กรณีเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้คางคกก็ต้องมีโชคเข้าข้างอยู่บ้าง ซึ่งคางคกและกบบางชนิดก็ไปดักกินค้างคาวถึงปากถ้ำ โดยรอให้เหยื่อออกมาหากินตอนกลางคืน ซึ่งเป็นสิ่งที่พบได้ในออสเตรเลีย
       
       อย่างไรก็ดี ค้างคาวก็ไม่ใช่เหยื่อเสมอไปในโลกของ “ สัตว์กินสัตว์” โดยค้างคาวปากย่น ทราชอปส์ ซีร์โรซุส (Trachops cirrhosus) เป็นค้างคาวสปีชีส์ที่ราบกันว่ากินคางคก ซึ่งเพจเดาว่าเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไป โดยค้างคาวจำนวนมากจะออกล่ากบและคางคก โดยตามเสียงกรอบแกรบของเศษใบไม้ที่กบและคางคกสัญจรผ่าน และค้างคาวบางชนิดก็ตามเสียงกบตัวผู้ที่ส่งเสียงเรียกคู่ด้วย
       
       ทว่าเหตุการณ์ที่เปรูนั้นลงเอยด้วยดีสำหรับค้างคาว เพราะหลังจากคางคกไม่ประสบความสำเร็จในการกลืนเหยื่อ มันก็คายออกมา ค้างคาวที่ยังมีชีวิตอยู่จึงบินจากไป

ภาพและข้อมูลจาก http://www.manager.co.th/

วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

"กบน้อย" กระโดดเด้งระหว่างการปล่อยจรวด





    จากกรณีสัปดาห์ที่ผ่านมาข่าวต่างประเทศต่างนำเสนอภาพประหลาดที่มีกบตัวหนึ่งลอยเด้ง
    กลางอากาศระหว่างการปล่อยจรวด โดยภาพจากองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ
    (นาซา) ของสหรัฐอเมริกา แสดงให้เห็น"กบน้อย" กระโดดลอยตัวสูงบริเวณฐานปล่อยจรวด
    ส่งยานอวกาศ"เลดี" (LADEE) ยานสำรวจบรรยากาศและสภาพฝุ่นของดวงจันทร์ ที่รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งทางนาซายืนยันว่าเป็นภาพถ่ายของจริงที่ไม่ได้มีการตัดต่อเพิ่มเติมแต่อย่างใด
    เพราะเป็นกล้องที่ติดตั้งไว้บริเวณฐานปล่อยจรวด


    อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครรู้ชะตากรรมของกบน้อยตัวนี้ว่ามีชีวิตรอดออกมาหรือไม่ แต่มีการ
    วิเคราะห์กันว่า กบตัวนี้อาจจะไปอาศัยอยู่บริเวณบ่อรับน้ำที่สร้างขึ้นบริเวณฐานปล่อยจรวด
    ซึ่งอาจจะมีความเย็นที่เหมาะสมพอที่เจ้ากบจะไปอาศัยอยู่ และเมื่อมีการปล่อยจรวด
    กบน้อยจึงตกใจกระโดดลอยตัวสูงขึ้นมาติดอยู่ในรูปเป็นส่วนหนึ่งของการปล่อยจรวดครั้งนี้


    ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีสัตว์เข้ามาเกี่ยวข้องกับการปล่อยจรวด เพราะหลายครั้งที่การปล่อย
    จรวดจะมีนกบินผ่านเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นอีแร้งบินผ่านมาชนเข้ากับจรวด หรือจะเป็นฝูงวัวที่วิ่งผ่าน
     




    ข้อมูลจาก นสพ.มติชนรายวันและhttp://www.prachachat.net/

    คอนเทนเนอร์ใหญ่ร่วง"ทับรถยนต์แบน แต่เหลือเชื่อเจ้าของรถรอดตาย



    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 25 กันยายน ว่า หญิงจีนสุดดวงแข็ง
    หลังจากเธอประสบเหตุสุดระทึก ถูกตู้คอนเทนเนอร์ขนาดยักษ์ร่วงทับรถยนต์
    แต่เจ้าตัวกลับรอดชีวิตอย่างไม่น่าเชื่อ


    รายงานระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในเมืองฉางเจียกัง ในมณฑลเจียงซือของจีน 
    หญิงรายหนึ่งซึ่งไม่มีการเปิดเผยชื่อ ได้ขับรถไปใกล้รถบรรทุกที่กำลังบรรทุกคอนเทนเนอร์
    ขนาดใหญ่ ก่อนที่มันจะร่วงกลางทาง และหล่นใส่รถยนต์ของเธอ ส่งผลให้รถยนต์ของ
    เธอแบนยับ และต้องใช้เครนขนาดใหญ่นำคอนเทนเนอร์ดังกล่าวออก และเจ้าหน้าที่กู้ภัย
    ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากรถยนต์ข้างใน และพบหญิงรายนี้ในสภาพปลอดภัย
    ไม่ได้รับอันตรายหรือบาดเจ็บใดๆ

    ภาพและข้อมูลจาก http://www.matichon.co.th

    “รีดเดอร์ส ไดเจสท์” จัดอันดับเมือง “ซื่อสัตย์” ที่สุดในโลก



    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 25 ก.ย. ว่าทีมงานนิตยสาร
     “รีดเดอร์ส ไดเจสท์” ของสหรัฐอเมริกา ทำการทดสอบ “ความซื้อสัตย์” ของประชนใน 16 เมืองใหญ่ทั่วโลก
    ด้วยการทิ้งกระเป๋าสตางค์ไว้ตามสถานที่สาธารณะ ทั้งห้างสรรพสินค้า ป้ายรถประจำทาง สถานีรถไฟ
    และสวนสาธารณะ เมืองละ 12 ใบ โดยภายในกระเป๋าสตางค์แต่ละใบบรรจุเงินสด 50 ดอลลาร์สหรัฐ
    ( ราว 1,550 บาท ) นามบัตร รูปถ่าย บัตรกดเงินสด และคูปองต่างๆ ผลออกมาเป็นดังนี้
    อันดับ 1 กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ : ได้รับกระเป๋าคืน 11 จาก 12 ใบ
    อันดับ 2 นครมุมไบ ประเทศอินเดีย : ได้รับกระเป๋าคืน 9 จาก 12 ใบ
    อันดับ 3 กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี และนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา : ได้รับกระเป๋าคืน 8 จาก 12 ใบ
    อันดับ 5 กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย และกรุงอัมสเตอร์ดัมส์ ประเทศเนเธอร์แลนด์ : ได้รับกระเป๋าคืน 7 จาก 12 ใบ
    อันดับ 7 กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี และกรุงลูบลิยานา ประเทศสโลวีเนีย : ได้รับกระเป๋าคืน 6 จาก 12 ใบ
    อันดับ 9 กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และกรุงวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ : ได้รับกระเป๋าคืน 5 จาก 12 ใบ
    อันดับ 11 กรุงบูคาเรสต์ ประเทศโรมาเนีย นครซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และนครรีโอเดจาเนโรและ
                  ประเทศบราซิล  : ได้รับกระเป๋าคืน 4 จาก 12 ใบ
    อันดับ 14 กรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก : ได้รับกระเป๋าคืน 3 จาก 12 ใบ
    อันดับ 15 กรุงมาดริด ประเทศสเปน : ได้รับกระเป๋าคืน 2 จาก 12 ใบ
    อันดับ 16 กรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส : ได้รับกระเป๋าคืน 1 จาก 12 ใบ

    หมายเหตุ ผู้สนใจสามารถเข้าไปค้นหารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
    http://www.rd.com/slideshows/most-honest-cities-lost-wallet-test/

    ภาพและข้อมูลจาก http://www.dailynews.co.th

    แผ่นดินไหวปากีสถานดัน"เกาะ"โผล่กลางทะเล


    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองเกตต้า ประเทศปากีสถาน เมื่อวันที่ 25 ก.ย.ที่ผ่านมาว่า  เหตุแผ่นดินไหว
    ครั้งใหญ่ในทางตะวันตกเฉียงใต้ของปากีสถานเมื่อวันอังคาร วัดความรุนแรงได้ถึง  7.7 ริคเตอร์  คร่าชีวิตผู้คน
    ไปแล้วไม่ต่ำกว่า 208 ศพ และบาดเจ็บกว่า 382 คน อาคารบ้านเรือนหลายหลังพังทลาย  ประชาชนแตกตื่น
    วิ่งหนีลงมาบนถนนกันจ้าละหวั่น  ซึ่งศูนย์กลางของแผ่นดินไหวครั้งนี้ อยู่ในเขตอวารานของจังหวัดบาลูชิสถาน 

    แต่แผ่นดินไหวครั้งนี้ มีความแตกต่างจากแผ่นดินไหวครั้งก่อนๆเนื่องจากการสั่นสะเทือน ทำให้เกิดเกาะ
    แห่งใหม่ในทะเล  นายตูฟาอิล บาลุช  เจ้าหน้าที่ปากีสถานบอกว่า เกาะใหม่นี้ผุดขึ้นมา หลังเกิดแผ่นดินไหว
    ใกล้ชายฝั่งเขตกวาดาร์ มีความสูง 100 ฟุตและกว้าง 200 ฟุต  อย่างไรก็ตาม นายบาลุช กล่าวว่า  
    เคยมีเกาะที่คล้ายกันผุดขึ้นมากลางทะเลในบริเวณเดียวกันนี้เมื่อ 60 ปีก่อน  แต่แล้ววันหนึ่ง
    เกาะดังกล่าวก็ได้หายไป

    ข่าวแจ้งว่า เกาะเล็กๆ รูปร่างเหมือนภูเขาโผล่ขึ้นมากลางทะเลอารเบียน ห่างจากชายฝั่งเขตกวาดาร์ของ
    ปากีสถานราว 600 เมตร  นอกจากนี้ สถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นแพร่ภาพภูมิประเทศที่เป็นไหล่หินเหยียดยาว
    โผล่ขึ้นมาเหนือระดับน้ำทะเล  โดยฝูงชนพากันมารวมตัวบริเวณชายฝั่งเพื่อดูปรากฎการณ์ที่ไม่สามารถ
    พบเห็นได้บ่อยนักปากีสถานเคยเผชิญแผ่นดินไหวรุนแรงระดับ 7.6 ริคเตอร์เมื่อปี 2548  โดยมีศูนย์กลาง
    อยู่ในเขตแคชเมียร์  ทำให้มีผู้เสียชีวิตไม่น้อยกว่า 73,000 ราย และไร้ที่อยู่หลายล้านคน  นับเป็นหนึ่ง
    ในเหตุการณ์ภัยพิบัติครั้งร้ายแรงที่เกิดขึ้นในประเทศ
    ภาพและข้อมูลจาก http://www.dailynews.co.th

    วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

    สุดทึ่ง ช่างภาพบันทึกภาพ"วาฬหลังค่อมขาวล้วน"สุดหายากได้

                   

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 22 ก.ย.ว่า เจนนี่ ดีน ช่างภาพหญิง 
    ได้บันทึกภาพวินาทีระทึก เมื่อจับภาพ"วาฬหลังค่อม" โผล่เหนือทะเลใน
    เมืองควีนส์แลนด์ ของออสเตรเลีย





    รายงานระบุว่า ภาพดังกล่าวถูกบันทึกเมื่อเดือนส.ค.ที่ผ่านมา โดยวาฬ"humpback" 
    ได้พุ่งตัวเหนือทะเลในอ่าวเอ็ตตี้ เบย์ ทางตอนเหนือของเมืองควีนส์แลนด์ 
    ของออสเตรเลีย โดยนางเจนนี่ สามารถจับภาพช็อตน่าทึ่งดังกล่าวได้ และเชื่อว่า
    มันคือวาฬหลังคล่อมเผือกล้วน ซึ่งเป็นวาฬตัวสีขาวล้วนพันธุ์เดียวในโลก 
    ที่อพยพย้ายถิ่นจากขั้วโลกใต้มายังออสเตรเลีย ซึ่งมีอุณหภูมิอุ่นกว่า

    ขณะที่นางเจนนี่บอกว่า การบันทึกภาพนี้ได้ถือเป็นประสบการณ์ที่น่าทึ่ง เนื่องจาก
    วาฬดังกล่าวผุดจากท้องทะเลอย่างรวดเร็วมาก และโชคดีอย่างเหลือเชื่อ
    ที่เธอสามารถบันทึกภาพนั้นไว้ได้



    ภาพและข้อมูลจาก http://www.matichon.co.th