วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ตามรอยตำนาน ...พญานาค












  นี่เป็นการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตำนานพญานาคไว้ ข้อมูลอาจจะซ้ำกันไปมาบ้าง ...คงไม่เป็นไรนะ
ความเชื่อหนึ่ง ที่มีมายาวนานจนเรียกได้ว่ากลายเป็นตำนาน นั่นก็คือเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับ นาค หรือ  
พญานาค พญา แห่งงูใหญ่ผู้เป็นเทพเจ้าแห่งท้องน้ำ ที่ผู้คนรู้จักและมีตำนานเล่าถึงกันมายาวนานและ
เก่าแก่มาก อาจจะมากกว่าว่าพุทธศาสนาด้วยซ้ำไป กระทั่งทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครค้นหาคำตอบได้ว่า เรื่องของ
พญานาคนี้เป็นเพียงความเชื่อความศรัทธา เป็นจินตนาการจากผู้แต่งวรรณคดี หรือจะเป็นเรื่องราวที่
มาจากความจริงกันแน่  

ตำนานความเชื่อเรื่อง นาค หรือ พญานาค งูใหญ่มีหงอน มีต้นกำเนิดมาจากอินเดียใต้ 
เนื่องจากภูมิประเทศทางอินเดียใต้เต็มไปด้วยป่าเขา ทำให้มีงูอาศัยอยู่ชุกชุม และด้วยเหตุ
ที่งูนั้นลักษณะทางกายภาพคือมีพิษร้ายแรง งูจึงเป็นสัตว์ที่มนุษย์ให้การนับถือว่ามีอำนาจ 
และเป็นสัตว์ที่ชาวอินเดียนับถือ นอกจากนี้ยังมีนิยายหลายเรื่องของอินเดียที่กล่าวถึงพญานาค 
โดยเฉพาะในมหากาพย์มหาภารตะ ซึ่งนาคเป็นปรปักษ์ของพญาครุฑ ส่วนในตำนาน
พุทธประวัติ ก็เล่าถึงพญานาคไว้หลายครั้งด้วยกัน
ใน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีตำนานเรื่องพญานาคอย่างแพร่หลาย ชาวบ้านใน
ภูมิภาคนี้เชื่อกันว่าพญานาคอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขง หรือเมืองบาดาล และเชื่อกันว่าเคยมี
คนเคยพบรอยพญานาคขึ้นมาในวันออกพรรษาโดยจะมีลักษณะคล้าย รอยของงูขนาดใหญ่ 
และเมื่อใดที่ไปเล่นน้ำในแม่น้ำโขงควรยกมือไหว้เพื่อเป็นการสักการะสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์
                                            

ตามตำนานเล่าว่า พญานาค เป็นสัตว์มหัศจรรย์ ที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถแปลงกายได้   
มีอิทธิฤทธิ์และมีชีวิตใกล้กับคน  สามารถ แปลงเป็นคนได้ เช่นคราวที่แปลงเป็นคนมาขอ
บวชกับพระพุทธเจ้า ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึงนาคที่ชื่อ ถลชะ ที่แปลว่า เกิดบนบก 
จะเนรมิตกายได้เฉพาะบนบก และนาคชื่อ ชลซะ แปลว่า เกิดจากน้ำ จะเนรมิตกายได้
เฉพาะในน้ำเท่านั้น
         ถึงแม้จะเนรมิตกายเป็นอะไร แต่ในสภาวะ 5 
อย่างนี้ จะต้องปรากฏเป็นงูใหญ่เช่นเดิม คือ ขณะเกิด 
ขณะลอกคราบ ขณะสมสู่กันระหว่างนาคกับนาค 
ขณะนอนหลับ โดยไม่มีสติ และที่สำคัญ ตอนตาย 
ก็กลับเป็นงูใหญ่เหมือนเดิม ซึ่งเป็นตำนานหนึ่ง
ในพระพุทธศาสนา เหตุที่เราเรียกคนที่นุ่งขาวห่มขาว
ก่อนบวชว่า นาค เนื่องจากมีพญานาคเกิดเลื่อมใสในพุทธศาสนา จึงแปลงกายเป็นมนุษย์มาขออุปสมบท 
สุดท้ายก็ได้เป็นพระสมใจ แต่เมื่อพระที่แปลงกายทิพย์นอนก็กลับกกลายเป็นพญานาค พระรูปอื่นเห็น
เข้าจึงรีบไปแจ้งเจ้าอาวาส เพราะว่าพญานาคจะบวชเป็นพระไม่ได้เนื่องจากไม่ใช่มนุษย์ จึงมีคำสวดก่อน
อุปสมบทว่า มนุสโสสิ แปลว่า ท่านเป็นมนุษย์หรือเปล่า คำตอบก็จะบอกว่า อามะภันเต แต่ถ้าไม่ใช่มนุษย์ 
ก็จะตอบไม่ได้เพราะทั้งพญานาค ครุฑ หรือกระทั่งเทวดานางฟ้ามีกฎว่าห้ามพูดปด 

พญานาค มีพิษร้าย สามารถทำอันตรายผู้อื่นได้ด้วยพิษ ถึง 64 ชนิด ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า 
สัตว์จำพวกงู แมงป่อง ตะขาบ คางคก มด ฯลฯ มีพิษได้ ซึ่งก็ด้วยเหตุที่ นาคคายพิษทิ้งไว้ แล้ว
พวกงูไปเลีย พวกที่มาถึงก่อนก็เอาไปมาก พวกมาทีหลัง เช่น แมงป่อง กับ มด ได้พิษน้อย 
แค่เอาหาง เอากันไปป้ายเศษพิษ จำพวกนี้จึงมีพิษน้อย และพญานาคต้องคายพิษทุก 15 วัน  
 พญานาค อาศัยอยู่ใต้ดิน หรือบาดาล คนโบราณเชื่อว่าเมื่อบนสวรรค์มีเทพเทวาอาศัยอยู่ลึกลง
ไปใต้พื้นโลก ก็น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวว่า ที่ที่นาคอยู่นั้น
ลึกลงไปใต้ดิน 1 โยชน์ หรือ 16 กิโลเมตร มีปราสาทราชวังที่วิจิตรพิสดารไม่แพ้สวรรค์ 
ที่มีอยู่ถึง 7 ชั้น เรียงซ้อน ๆ กัน ชั้นสูง ๆ ก็จะมีความสุขเหมือนสวรรค์  พญา นาค สามารถ
ผสมพันธุ์กับสัตว์ชนิดอื่นได้ แปลงกายแล้วผสมพันธุ์กับมนุษย์ได้ เมื่อนาคตั้งท้องจะออกลูก
เป็นไข่เหมือนงู มีทั้งพันธุ์เศียรเดียว 3, 5 และ 7 เศียร สามารถขึ้นลง ตั้งแต่ใต้บาดาล
พื้นโลก จนถึงสวรรค์ ในทุกตำนานมักจะกล่าวถึงนาคที่ขึ้น-ลง ระหว่างเมืองบาดาล 
กับเมืองสวรรค์ ที่จะแปลงกายเป็นอะไรตามที่คิด ตามสภาวะเหตุการณ์นั้น ๆ

                จะ เห็นได้ว่า เรื่องราวของพญานาคมีตำนานเล่ามาอย่างละเอียด ทว่าเป็นอีกภพภูมิหนึ่ง 
                ที่ไม่ใช่ที่เดียวกับมนุษย์ แต่หลายครั้งหลายคราที่มนุษย์เชื่อว่า พญานาคปรากฏกายให้เห็น
                                          
ใน แต่ละปีของวันออกพรรษา อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย ถือเป็นแหล่งนัดพบของบรรดา
ผู้ที่ต้องการพิสูจน์ความจริงของปรากฏการณ์ที่มี ลูกไฟที่พุ่งขึ้นมาใต้แม่น้ำโขง เป็นลูกไฟ
สีแดงอมชมพู ไม่มีเสียง ไม่มีแสง และไม่มีควัน ไม่มีโค้งตกลงมาเหมือนลูกไฟทั่ว ๆ ไป 
และลูกไฟที่ว่านี้จะไม่เป็นที่กำหนดว่าจะเกิดขึ้นบริเวณใด จำนวนกี่ลูก และจะขึ้นสูง
ขนาดไหน ไม่มีกำหนด แต่จะเฉลี่ยแล้วจะขึ้นไม่แน่นอน จุดละ 3-20 ลูก ขึ้นสูงกว่า
 100 เมตร ตามจุดต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว ลูกไฟนี้ชาวบ้าน อ.โพนพิสัย ตั้งแต่สมัยผู้เฒ่า
ผู้แก่ เรียกว่า "บั้งไฟพญานาค" เพราะเชื่อกันว่าจะเป็นบั้งไฟที่พญานาคจุดขึ้นมา 
เพื่อเป็นพุทธบูชาต่อพระพุทธเจ้า ที่เสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หลังจากที่ไป
โปรดพระมารดา เป็นเวลา 3 เดือน จึงมีทั้งเมืองมนุษย์ สวรรค์ และเมืองบาดาล 
ที่ต่างก็สาธุการจัดงานสมโภช ที่ประเพณีไทยทำมาก็คือ การตักบาตรเทโวในวันออกพรรษา

                  นอกจากนี้ที่ คำชะโนด ตำบลวังทอง อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี  ยังเป็นสถานที่
ที่มีความเชื่อว่าพญานาคาอาศัยอยู่ ซึ่งอยู่บริเวณวัดสิริสุทโธ บริเวณนั้นมีป่าขนาดใหญ่ปกคลุม
ด้วยนานาพรรณไม้โดยเฉพาะ ต้นชะโนด  สถานที่แห่งนี้นับเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์  เนื่องจาก
ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นที่อาศัยอยู่และเป็นสถานที่สู่เมืองบาดาลของพญานาคตามความเชื่อ  
 อีกทั้งบริเวณรอบศาลาเคยมีร่องรอยที่ทำให้ชาวบ้านเชื่อว่านั้นคือร่องรอยของพญานาค
               


             มีเรื่องเล่าถึงความลึกลับน่าขนลุกเกี่ยวกับคำชะโนดอยู่ว่า เมื่อราวปี พ.ศ. 2532 มีคนมาจ้าง
พวกหนังเร่ให้ไปฉายหนังกลางแปลงที่หมู่บ้านวังทอง อำเภอบ้านดุง อุดรธานี แต่มีข้อแม้ให้ฉาย
ถึง ตี 4 เท่านั้น พอถึงตี 4 ก็ให้รีบเก็บข้าวของกลับไปและห้ามหันกลับมาดูข้างหลังอีก พวกหนังเร่
ก็ไปฉายหนังตามที่โดนว่าจ้างโดยไม่ได้คิดอะไร ทว่าขณะที่ฉายหนัง ผู้คนที่มาดูมีอาการนิ่งเฉย 
สวมชุดขาวและชุดดำ นั่งแยกกลุ่มกัน ไม่มีร้านค้า ไม่มีบรรยากาศครึกครื้นเหมือนที่น่าจะเป็น   
พอ ถึงเวลาตี 4 คนฉายหนังจึงรีบเก็บข้าวของเตรียมกลับ แต่อดไม่ได้ที่จะหันหลังกลับไปดูผู้คน
เหล่านั้น แต่แล้ว กลับไม่มีสิ่งมีชีวิตใดปรากฏให้เห็นเลย เขาเหล่านั้นหายไปในชั่วพริบตา อีกทั้ง
ภาพที่เห็นพื้นที่ตรงนั้นกลับเป็นป่าทึบที่แม้ที่ๆ จะเอาจอหนังขึงยังแทบจะไม่มี  พอ ตอนเช้าก็มา
เจอชาวบ้านถามว่าไปฉายหนังที่ไหนมา พอบอกว่าฉายที่บ้านวังทอง ชาวบ้านกลับยืนยันว่าไม่มี
หนังมาฉายเลย ในที่สุดเมื่อสอบถามกันจนได้ความว่า ไปฉายหนังที่ใน ดงคำชะโนด ซึ่งเป็น
สถานที่ลี้ลับที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นเมืองพญานาค มีภูตผีปีศาจสิงสถิตอยู่ ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับหมู่บ้าน
วังทองนี่เองก็เลยต้องเชื่อกันว่า ถูกผีจ้างไปฉายหนัง
 
เรื่อง ราวที่เล่าต่อกันมาเกี่ยวกับพญานาคยังมีอีกมาก แต่ก็ยังไม่มีอะไรมาพิสูจน์ พญานาคอาจมีตัวตนจริง แต่ไม่ใช่ในโลกของเรา เช่นเดียวกับ เรื่อง ผี วิญญาณ จึงเป็นไปได้ว่าอาจจะมีคนบางคนมองเห็น และอีกหลายคนที่ไม่เห็น ในตอนหน้า เราจะมาเจาะลึกถึงเรื่องราวความเชื่อเกี่ยวกับปรากฏการณ์ บั้งไฟพญานาค ที่เป็นปรากฏการณ์ที่เห็นได้ชัดที่สุด ที่เล่าลือกันมาเกี่ยวกับการมีอยู่จริงของพญานาค  ถึง แม้หลายคนจะพยายามหาเหตุผลมาอ้างอิงเกี่ยวกับปรากฏการณ์นี้ ว่าอาจจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ หรือเกิดจากฝีมือมนุษย์ แต่ท้ายที่สุด ก็ยังไม่มีข้อสรุปใด ๆ  เรื่องราว เหล่านี้เป็นเรื่องลี้ลับที่ผู้คนสนใจ แต่ก็มิใช่เรื่องที่ต้องนำมาสู่ความขัดแย้งกัน ความเชื่อ หรือก็คือสิ่งที่มองไม่เห็น พิสูจน์ไม่ได้ แต่ใช่ว่าจะไม่มีอยู่จริง 
ภาพและข้อมูลจาก http://board.postjung.com 



ตำนานพญานาค เมืองหนองคาย

          นาค หรือ พญานาค งูใหญ่มีหงอน สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ 
ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา และนาคยังเป็นสัญลักษณ์ของบันไดสายรุ้ง
สู่จักรวาล
นาคเป็นเทพเจ้าแห่งท้องน้ำ บางแห่งก็ว่าเป็นเทพเจ้าแห่งฟ้า ตำนานความเชื่อ
เรื่องพญานาคมีความเก่าแก่มาก ดูท่าว่าจะเก่ากว่าพุทธศาสนาอีกด้วย สืบค้นได้ว่า
มีต้นกำเนิดมาจากอินเดียใต้ ด้วยเหตุจากภูมิประเทศทางอินเดียใต้เป็นป่าเขาจึง
ทำให้มีงูอยู่ชุกชุม และด้วยเหตุที่งูนั้นลักษณะทางกายภาพคือมีพิษร้ายแรง งูจึงเป็น
สัตว์ที่มนุษย์
ให้การนับถือว่ามีอำนาจ ชาวอินเดียใต้จึงนับถืองูเป็นสัตว์เทวะชนิดหนึ่งในเทพนิยาย
และตำนานพื้นบ้าน บ้างก็ว่าเป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์
          มีความเชื่อเรื่องพญานาคแพร่หลายในภูมิภาคต่างๆ ทั่วทวีปเอเชีย โดยเรียก
ชื่อต่างๆ กัน ต้นกำเนิดความเชื่อเรื่องพญานาคน่าจะอยู่ที่อินเดีย ด้วยมีนิยาย
หลายเรื่องเล่าถึงพญานาค โดยเฉพาะในมหากาพย์มหาภารตะ ซึ่งถือเป็นปรปักษ์
ของพญาครุฑ ส่วนในตำนานพุทธประวัติเล่าถึงพญานาคไว้หลายครั้งด้วยกัน 
 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีตำนานเรื่องพญานาคอย่างแพร่หลาย ชาวบ้าน
ในภูมิภาคนี้มักเชื่อกันว่าพญานาคอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขง หรือเมืองบาดาลและ
เชื่อกันว่ามีคนเคยพบรอยพญานาค
ขึ้นมาในวันออกพรรษา โดยจะมีลักษณะคล้ายรอยงูขนาดใหญ่ และเมื่อไปเล่นน้ำ
ในแม่น้ำโขงควรยกมือไหว้ เพื่อเป็นการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์
          ลักษณะของพญานาคตามความเชื่อในแต่ละภูมิภาคจะแตกต่างกันไป 
แต่พื้นฐานคือพญานาคนั้นมีลักษณะตัวเป็นงูตัวใหญ่ มีหงอนสีทอง ตาสีแดง 
มีเกล็ดเหมือนปลา
และมีหลายสีแตกต่างกันไปตามบารมี บ้างก็มีสีเขียว บ้างก็มีสีดำ หรือบ้างก็มี 7 สี 
และที่สำคัญ คือ นาคตระกูลธรรมดาจะมีเศียรเดียว แต่ตระกูลที่สูงขึ้นไปนั้น 
จะมีสามเศียร
ห้าเศียร เจ็ดเศียร และเก้าเศียร นาคจำพวกนี้จะสืบเชื้อสายมาจากพญาเศษนาคราช 
 (อนันตนาคราช) ผู้เป็นบัลลังก์ของพระวิษณุนารายณ์ปรมนาท ณ เกษียรสมุทร
อนันตนาคราชนั้นเล่ากันว่า มีกายใหญ่โตมหึมามีความยาวไม่สิ้นสุด มีพันศีรษะ 
พญานาคนั้นมีทั้งเกิดในน้ำ และบนบก เกิดจากครรภ์และจากไข่ มีอิทฤทธิ์สามารถบันดาล
ให้เกิดคุณและโทษได้ นาคนั้นมักจะแปลงร่างเป็นมนุษย์รูปร่าง สวยงาม
พญานาคกับตำนานเมืองหนองคาย
          เหตุที่พระสุกจมน้ำ ที่เวินสุก บ้านหนองกุ้ง อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย 
 มีการเล่าขานถึงความศรัทธาของพญานาคว่า เหล่าพญานาคนั้นเป็นผู้ที่มีความเคารพ
และศรัทธาในพระพุทธเจ้ามาก หลังจากที่มีการสร้างพระพุทธรูปขึ้นที่เมืองล้านช้าง 
ประเทศลาว ความทราบถึงเหล่าพญานาค ที่อยู่เมืองบาดาล จึงได้แปลงกายขึ้นไป
ขอพระพุทธรูปกับเจ้าเมืองล้านช้าง โดยเจาะจงขอเอาพระสุก เพื่อไปไหว้สักการะบูชา
ที่เมืองบาดาล
          ปกติเหล่าพญานาคเป็นผู้ที่ถือศีลแปดเคร่งครัดมาก และจะไม่ทำร้ายใคร 
ส่วนมนุษย์ตายในน้ำที่ว่าเงือกกินนั้น เงือกก็คือ พญานาคชั้นเลว ประพฤติตนเกเร
จึงชอบทำร้ายมนุษย์ตามน้ำ เดี๋ยวนี้พระสุกก็ยังจมอยู่ในแม่น้ำโขงที่เป็นที่อยู่ของ
เหล่าพญานาค ในเมืองบาดาล เวินสุกอยู่ตรงข้าม กับบ้านหนองกุ้งอำเภอโพนพิสัย
จังหวัดหนองคาย ตรงนั้นเป็นบริเวณปากน้ำงึมไหลลงมาออกแม่น้ำโขง เป็นแม่น้ำ
สองสี ในเมื่อมีเมืองมนุษย์หรือโลกมนุษย์ โลกสวรรค์หรือเมืองสวรรค์ ก็ต้องมี
เมืองบาดาล
(เมืองพญานาค) ตามความเชื่อเมืองบาดาลอยู่ใต้เมืองมนุษย์ลงไปในใต้ดิน 16 
กิโลเมตร และมีคำเล่าลือเกี่ยวกับเมืองบาดาลในเขต อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย 
 อีกด้วย
ใต้เมืองโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย
         ลักษณะของอำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง
ด้านหัวเมืองจะมีลำห้วยหลวงไหลออกมา เรียกว่า ปากห้วยหลวง ตรงข้ามกับ
อำเภอโพนพิสัย คือ บ้านโดน ที่ขึ้นกับเมืองปากงึม ทุกวันนี้มีเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับ
เมืองบาดาลที่เชื่อว่าอยู่ใต้อำเภอโพนพิสัยว่า ในหน้าแล้งจะมีหาดทรายขึ้นกลาง
แม่น้ำโขง แต่บริเวณอำเภอ
โพนพิสัยหาดทรายนี้จะขึ้นอยู่ฝั่งลาว บริเวณบ้านโดน
          วันหนึ่งในหน้าแล้งตอนเที่ยงวัน ได้มีหญิงสาวชาวบ้านโดนคนหนึ่ง
ได้ลงมาตักน้ำเพื่อไปดื่ม โดยมีถังน้ำ (หาบครุน้ำ) ลงมาที่หาดทราย เพราะบริเวณ
นั้นมีน้ำออกบ่อ สะอาด (น้ำริน) เมื่อลงมาแล้วได้หายไป ชาวบ้านลงมาเห็นแต่ถังน้ำ
 (หาบครุน้ำ) พ่อแม่ต่างก็ตามหากันแต่ไม่พบจนครบ 7 วัน เมื่อไม่เห็นลูกสาว
และคิดว่าคงจมน้ำตายแล้ว จึงได้พร้อมกับญาติพี่น้องชาวบ้านจัดทำบุญอุทิศให้
ในตอนกลางคืนก็มีหมอลำสมโภช จนเวลาประมาณเที่ยงคืนลูกสาวคนที่เข้าใจว่า
จมน้ำตายก็ปรากฏตัวขึ้นที่บ้าน ขณะที่ชาวบ้านกำลังฟังหมอลำกันอยู่
ทำให้ญาติพี่น้องแตกตื่นกันเป็นอย่างมาก บางคนก็วิ่งหนี เพราะคิดว่าเจอผีหลอก
 สุดท้ายลูกสาวจึงได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง หลังจากที่ตั้งสติได้ และแล้ว
ญาติพี่น้องก็เข้ามาร่วมวงนั่งฟัง
          หญิงสาวเล่าให้ทุกคนฟังว่า "วันนั้นอากาศร้อนมากน้ำดื่มหมดโอ่ง เมื่อลงไป
เพื่อจะตักน้ำเมื่อวาง กระป๋องน้ำ (หาบครุ) ปรากฏว่าเห็นมีหมู เหมือนกับว่าได้ยกเท้าหน้า
เรียกให้เข้าไปหา เมื่อเดินเข้าไปหาแล้วหมูตัวนั้นบอกว่าให้หลับตาจะพาลงไปเมืองบาดาล
พอหลับตาได้สักครู่หมูตัวนั้นก็บอกให้ลืมตา เมื่อลืมตาขึ้นปรากฏว่าตนมาอยู่ อีกเมืองหนึ่ง
ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับเมืองมนุษย์ มีดิน มีบ้านเรือนเรียงรายกันอยู่ แต่จะมีแปลกก็ตรงที่
ทุกคนนุ่งผ้าแดง และมีผ้าพันศีรษะเป็นสีแดงเหมือนกัน โดยด้านหน้าจะ ปล่อยให้ผ้าแดง
ห้อยลงเหมือนกับหัวงู เมื่อเดินตามชายคนนั้น (กลับร่างหมู กลายเป็นคน) ก็มีชาวบ้าน
ถามกันว่า นำมนุษย์ลงมาทำไม (เพราะกลิ่นมนุษย์ต่างกับเมืองบาดา ชายคนนั้นก็บอกว่า
พามาเที่ยวดูเมือง ได้เดินไปเรื่อยๆ เมื่อแหงนหน้ามองดูท้องฟ้ากลับปรากฏว่าเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ เหมือนสีขุ่นๆ ของน้ำ ชายคนนั้นได้บอกว่านี่เป็นเมืองบาดาลและเป็นเมืองหน้าด่าน
 ส่วนตัวเมืองหลวงนั้นยังอยู่อีกไกล และชาวเมืองจะมีงาน สมโภชเมื่อถึงวันออกพรรษา
ของเมืองมนุษย์ ซึ่งถือว่าตลอด 3 เดือนที่เข้าพรรษานั้น
เหล่าชาวเมืองที่นี่จะจำศีลปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นการบูชาพระพุทธเจ้า หลังจากที่เดิน
ชมเมืองอยู่ไม่นาน ชายคนนั้นก็ได้นำขึ้นมาส่ง โดยการเดินมาทางเดิมเรื่อยๆ
แต่ได้ขึ้นมายืน อยู่บริเวณหาดทรายเหมือนเดิม แล้วก็ได้ขึ้นมาหาพ่อ แม่"
จากการเล่าของลูกสาว พ่อ แม่ ญาติพี่น้องจึงได้จัดงานทำบุญทำพิธีสู่ขวัญ
เพื่อเป็นการต้อนรับขวัญให้กับลูกสาว
ต่อมาอีก 7 วัน ลูกสาวก็ได้เจ็บป่วยและเสียชีวิตในที่สุด (เหตุการณ์นี้สอบถามได้
จากผู้เฒ่า ผู้แก่ชาวโพนพิสัย คุ้มวัดศรีเกิดได้)

 

ภาพและข้อมูลจาก http://www.lib.ru.ac.th/

พญานาคตัวจริง ที่ขอนแก่น

Image
Image
ผมเป็นคนไป ถ่ายภาพนี้เองกับมือครับ (เห็นมีหลายคนเอามาโพสเลยไม่รู้คนไหน )
ขอบอกได้เลยว่า ที่ เป็นข่าว ว่าเจอตัวจริง ไม่ใช่แน่นอน ตัวนี้แหละครับตัวจริงแน่นอน ครับ
ผมไม่เคยเชื่อ เรื่องแบบนี้ แต่พอไปเห็นก็ต้องยอมรับครับว่ามีจริง
ข้อมูลเพิ่มเติมจากที่อื่นยังไม่มีครับ เพราะพึ่งเจอเดือนที่แล้วนี้เอง เอาเปงว่าผมจะเล่า
ให้ฟังแบบคล่าวๆนะครับ เรื่องมีอยู่ว่าวันหนึ่งมีงูเหลือมขึ้นมาจากตรงนี้


มีชาวบ้านคนหนึ่งแก ก็เอาไปกิน หลังจากนั้นชาวบ้านคนนั้นก็ ตกน้ำ คอหักตาย
(ตกน้ำแต่ทำไมคอหัก)
หลังจากนั้น ตกตอนกลางคืนมีหญิงสาวมาเข้านิมิตหลวงพ่อที่อยู่ประจำวัดนั้น
หญิงสาวนั้นมาอยู่ตรงนี่
Image
หลวงพ่อบอกว่าอย่ามานั่งอยู่ตรงนี้แต่แกก็ไม่ยอมฟัง บอกว่าว่า จะอยู่กับพระ
จะมาสร้างวัดช่วย พอวัดเสร็จแก่ถึงจะไป พอพูดจบ ก็เดินหายไปตรงที่งูออกมา
พอรุ่งเช้า หลวงพ่อก็เอาคนที่นั่งดูทางในได้มานั่ง ดู เขาเลยบอกว่า
มี ลูกสาวพญานาค อยู่ใต้ สิมนี้
Image
ชาวบ้านเลย ลอกขุด ตรงที่ งูขึ้นมาจากใต้สิม นี้ แล้วก็เจอ
Image

อยู่ในหม้อดินนี้มี พญานาค ตนนี้ แล้ว กำไร แขนของหญิงสาว และท่อนกระดูก
ข่าวนี้ยังไม่มีใครรู้จัก เราช่วย กันประกาศ ให้หน่อยนะครับ จะได้มีคนไปทำบุญกันเยอะ
วัดป่านี้ไม่มีไฟฟ้าใช้ เรามาสร้างช่วยกันนะครับ

อันนี้ข่าวเก่ามากแล้วครับมีคนเอามาโพสตั้งแต่ มกราคม ผมพึ่งเห็นเลยเอามาฝาก 
ส่วนตัวแล้วก็ไม่ได้ลบหลู่อะไร แต่ก็รู้สึกติดใจหน่อย คือ

1. ถ้าตามความเชื่อของเราคือ พญานาคนั้นเป็นสัตว์เทวดา ไม่ใช้สัตว์เดียรัจฉาน 

ไม่มีกายเนื้อ อยู่คนละภพกับเรา ปรกติผู้เห็นพญานาคคือผู้มีญาณ และผู้ที่เคย
ประสพพบกันมาในชาติก่อน

2. ถ้าพยานาคมีจริงดูจากลักษณะน่าคล้ายๆงูแต่หัวไม่ใช่ เอ้อเวลางูตายตัวมัน

จะเป็นขดๆ แบบนี้หรอครับ

ปล.เหมือนไม้เก่า เอาไปตรวจดูไม่ดีกว่าหรอ ให้รู้กันไปเลย

อ้อถ้าใครชอบทำบุญก็ไปร่วมกับทางวัดได้นะครับ ไปดูด้วยตาตัวเองด้วยว่าของจริงไหม


ที่มา http://www.itemxp.net/

 

พยานาคมีจริงมั้ย





บั้งไฟพญานาค


บั้ง ไฟพญานาค หรือ บั้งไฟผี เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ยังไม่สามารถหาคำอธิบายที่ชัดเจนได้ โดยมีลักษณะเป็นลูกไฟสีชมพู ไม่มีกลิ่น ไม่มีควัน ไม่มีเสียง พุ่งขึ้นเหนือลำน้ำโขง มีตั้งแต่ระดับ 1-30 เมตร แล้วพุ่งขึ้นไปในอากาศสูงประมาณ 50-150 เมตร เป็นเวลาประมาณ 5-10 วินาที โดยจะเกิดปีละ 1 ครั้งเท่านั้น ในช่วงวันออกพรรษา หรือ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ตามปฏิทินลาว ซึ่งอาจตรงกับวันแรม 1 ค่ำ หรือ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ของไทย โดยแต่ละปีจะปรากฏขึ้นประมาณ 3-7 วัน




มากกว่า 90% ของจำนวนลูกบั้งไฟพญานาคในแต่ละปี จะพบที่จังหวัดหนองคาย หน้าวัดไทย 

และบ้านน้ำเป อำเภอโพนพิสัย วัดอาฮง อำเภอบึงกาฬ วัดหินหมากเป้ง และอ่างปลาบึก 
อำเภอสังคม


ผู้ ศึกษาปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคหลายกลุ่ม พยายามอธิบายที่มาของปรากฏการณ์นี้

ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ เช่น คาดว่าอาจจะเป็นก๊าซมีเทน-ไนโตรเจน หรือ 
ฟอสฟอรัส ที่เกิดจากการย่อยสลายของซากพืชซากสัตว์ใต้น้ำ


นอก จากประเทศไทยแล้ว ที่อื่น ๆ ในโลกก็มีรายงานการพบปรากฏการณ์ลักษณะ

เดียวกันนี้เช่นกัน เช่นที่ มลรัฐมิสซูรี และ มลรัฐเท็กซัส ของสหรัฐอเมริกา โดยเรียกกันว่า 
แสงมาร์ฟา (Marfa lights) นอกจากนี้ยังพบที่เมืองเจดด้าห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย 
 ริมฝั่งทะเลแดง


ตำนาน

เรื่อง ของพญานาคในทางพุทธศาสนา ได้กล่าวไว้ว่า เดิมทีพญานาคที่อาศัยอยู่ในเมือง

บาดาลนั้นมีนิสัยดุร้าย แต่พอพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดสัตว์ก็เกิดความเลื่อมใสในพุทธศาสนา 
เลิกนิสัยดุร้าย และคิดจะหันมาออกบวช แต่ก็ติดที่เป็นสัตว์ไม่สามารถบวชได้ เนื่องจาก
เป็นสัตว์ พญานาคจึงปวารณาตนเป็นพุทธมามะกะ


เมื่อ พระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพระมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จนครบ 1 พรรษา 

( 3 เดือน) และเสด็จกลับโลกมนุษย์ในวันขึ้น15 ค่ำ เดือน 11 ด้วยบันไดแก้ว บันไดเงิน
และบันไดทอง ที่เหล่าเทวดาทำถวาย ส่วนมนุษย์โลกก็จะทำบุญตักบาตร นำดอกไม้
ธูปเทียนไปกราบไหว้บูชา ความนี้เมื่อรู้ถึงพญานาคที่อยู่เมืองบาดาล จึงได้จัดทำ 
“บั้งไฟพญานาค” และจุดเฉลิมฉลองเช่นกัน และได้กลายมาเป็นประเพณีมาจนทุกวันนี้




ลักษณะ

การ เกิดบั้งไฟพญานาค ลูกไฟจะเอนเข้าหาฝั่ง หากขึ้นกลางแม่น้ำโขง แต่หากขึ้นริมฝั่ง 

ลูกไฟจะเอนออกไปกลางโขง ลักษณะเป็นดวงไฟขนาดเล็กเท่าหัวแม่มือ ไปจนถึงขนาด
เท่าไข่ห่านหรือผลส้ม มีสีแดงอมชมพูออกสีบานเย็น หรือสีแดงทับทิม ไม่มีควัน 
ไม่มีเขม่า ไม่มีเปลว ไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น


โดย บั้งไฟพญานาคจะเริ่มปรากฏจากเหนือผิวน้ำ ตั้งแต่ระดับ 1-30 เมตร พุ่งสูงขึ้นไป

ประมาณระดับ 50-150 เมตร เป็นเวลาประมาณ 5-10 วินาที แล้วจะดับหายวับไปในอากาศ 
ทั้งๆ ที่ดวงไฟยังโตอยู่ มิได้หรี่เล็กลงแล้วค่อยๆ ดับ และไม่มีลักษณะโค้งตกลงมาเหมือน
ดอกไม้ไฟ ซึ่งปรากฏการณ์การเกิดบั้งไฟพญานาคนี้ได้มีนักวิทยาศาสตร์ศึกษาวิจัยหลายต่อ 
หลายท่าน แต่ก็ยังไม่พบข้อสรุปที่ชัดเจน



การปรากฏตัวของพญานาค

พญา นาค นอกจากปรากฏในรูปของบั้งไฟพญานาคแล้ว ยังมีหลักฐาน ร่องรอยและเรื่อง

เล่าต่างๆ อย่างเช่น บุญจันทร์ คำมุงคุณ ผู้ใหญ่บ้านและประธานโฮมสเตย์บ้านน้ำเป 
กิ่งอำเภอรัตนภูมิ จังหวัดหนองคาย เล่าให้ฟังว่า ขณะที่กำลังลงเรือหาปลาอยู่ในบริเวณ
ปากห้วยน้ำเปตอนประมาณสองทุ่ม



ก็ เห็นสัตว์ชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายงูอยู่ในน้ำ คือตรงส่วนหัวนั้นไม่เหมือนงูทั่วๆ ไป คือ

มีลักษณะคล้ายหงอน และดวงตามีขนาดเท่าไข่ไก่เห็นเป็นสีแดง งูนั้นมีขนาดเส้นผ่า
ศูนย์กลางประมาณ 20 เซนติเมตร


แอร์ ชาวอุดรธานี และเป็นคนที่มีสัมผัสที่หก ไปดูบั้งไฟพญานาคที่ริมแม่น้ำโขง 

จนประมาณ 3 ทุ่ม ที่บั้งไฟพญานาคลูกแรกขึ้น แอร์ก็รู้สึกวูบไปเลย มารู้สึกตัวอีกที
ในอีก 2 ชั่วโมงถัดมา ในลักษณะที่เท้าเหยียบอยู่ในแม่น้ำโขง มีคนหิ้วปีกอยู่ทั้งสองข้าง 
และรู้สึกว่าหน้าร้อนมาก ตอนที่แอร์วูบไป แม่ของแอร์เล่าว่า แอร์ก็มีท่าทีแปลกๆ 
เริ่มพูดไม่เหมือนตามปกติ ใช้ภาษาแบบคนโบราณ เช่น ข้ากับเจ้า และนั่งชันขา
เหมือนคนโบราณแล้วบอกว่า เราเป็นพญานาคชื่อสีดา ดูแลน้ำโขงช่วงนี้อยู่


ที่ มานี่เพื่อมาเตือน เพราะเห็นว่าในกลุ่มนี้มีคนที่ไม่เชื่อและพูดลบหลู่อยู่ พร้อมทั้งยัง

บอกว่าตนอยู่ที่นี่มาเป็นพันๆ ปีแล้ว และบั้งไฟนี้ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ จน 2 
ชั่วโมงผ่านไป ถึงเวลาเกือบ 5 ทุ่ม พญานาคที่ชื่อสีดาก็บอกว่าจะกลับแล้ว ให้ช่วย
ไปส่งที่ริมแม่น้ำหน่อย จากนั้นแอร์ก็รู้สึกตัวขึ้น


จุมพล สายแวว นายช่างไฟฟ้าสื่อสาร 5 ได้ไปทำข่าวมา ก็ได้เห็นเป็นรอยเหมือนสัตว์

เลื้อยคลาน เป็นรอยขนาดใหญ่ขึ้นทั่วหลังคารถเลย หรือบางรอยก็เห็นขึ้นริมโขง และ
ได้เกิดเหตุการณ์ ที่เขาได้เห็นกับตาและได้ถ่ายภาพวีดีโอไว้


เขา ได้เห็นภาพของสิ่งมีชีวิตลักษณะลำตัวยาวๆ ที่คาดว่ามีหลายตัว เล่นน้ำอยู่กลางลำ

น้ำโขง ใกล้ๆ กับพระธาตุกลางน้ำ ซึ่งเหตุการณ์เป็นข่าวครึกโครม มีผู้ให้ความสนใจเป็น
จำนวนมาก และเชื่อกันว่า เป็นเหตุการณ์ที่พญานาคขึ้นมานมัสการพระธาตุ





ทฤษฎีและข้อสมมติฐาน

ปรากฏการณ์ บั้งไฟพญานาค ณ วันนี้ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้อย่างชัดแจ้งว่าเกิดขึ้นได้

อย่างไร แต่ก็มีทฤษฎีและข้อสมมติฐานอยู่หลายทฤษฏี เช่น


นพ.มนัส กนกศิลป์ แห่งโรงพยาบาลหนองคาย อธิบายว่า บั้งไฟพญานาค เกิดจากก๊าซร้อน 

คือ ก๊าซที่มีส่วนผสมของก๊าซมีเทนและก๊าซไนโตรเจน เป็นส่วนผสมสำคัญ ซึ่งก๊าซร้อนชนิดนี้ 
 ก็คือก๊าซชีวภาพที่ระเบิดจากหล่มอินทรียวัตถุใต้ท้องน้ำหรือในดินที่เปียก โดยมีแบคทีเรีย
กลุ่มมีเทนฟอร์มเมอร์ซึ่งดำรงชีวิตได้ในสภาพไร้ออกซิเจนเท่า นั้น



ณ ความลึกของแม่น้ำโขงและแหล่งน้ำข้างเคียง เป็นตัวช่วยผลิตก๊าซ แต่ก็ต้องใช้เวลา

หลายชั่วโมง หลังจากนั้นก็จะได้ก๊าชมีเทนในปริมาณมากพอที่จะก่อให้เกิดความดันก๊าช
ในผิว ทรายอย่างน้อย 1.45 เท่า ของความดันบรรยากาศ เมื่อไปเจอความกดดันของน้ำ 
ความกดดันของอากาศในตอนพลบค่ำ หล่มทรายก็จะไม่สามารถรับแรงดันได้ ก๊าซจะ
หลุดออกมาและพุ่งขึ้นเมื่อโผล่พ้นน้ำ และมีการฟุ้งกระจายไปบางส่วน



โดย เหลือแกนในของก๊าซซึ่งลอยตัวขึ้นสูง เมื่อไปกระทบกับอนุภาพออกซิเจนอะตอมที่มีประจุ 

ที่มีพลังงานสูง ก็จะเกิดการสันดาปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นดวงไฟหลายสี แต่ 95% จะเป็น
ดวงไฟสีแดงอำพัน พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วก็หายไป และทุกตำแหน่งที่เกิดบั้งไฟพญานาค
จะอยู่ในระดับ 5-13 เมตรทั้งสิ้น


นอก จากนี้ยังพบอีกว่าความเป็นกรดและด่างของน้ำในแม่น้ำโขงก็จะสอดคล้องกับระบบ 

นิเวศน์ที่จะเกิดการหมักก๊าซมีเทน ซึ่งคุณหมอได้เคยไปวางทุ่นดักก๊าซในแม่น้ำโขง 
และค้นพบว่าก๊าซที่ดักได้ในแม่น้ำโขงสามารถนำไปจุดติดไฟ จะเกิดการพุ่งวูบขึ้นมีสี
ออกเป็นแดงอมชมพู ส่วนคำถามที่ว่าทำไมบั้งไฟพญานาคถึงเกิดขึ้นในคืนวันออกพรรษา 
คุณหมอมนัสบอกว่าในคืนวันนั้นจะมีอ็อกซิเจน ก๊าซที่ช่วยให้ติดไฟสูงสุดในรอบปี 
ซึ่งก็เกิดจากอิทธิพลของแรงโน้มถ่วงพลังงานรังสีของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และโลก


ส่วน อีกสมมติฐานนึงคือ เกิดจากการกระทำของมนุษย์เอง โดยสมชาติ วิทยารุ่งเรือง 

ปริญญาวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต ได้หาวิธีการทำบั้งไฟพญานาคในแบบฉบับของเขามา
ได้ 8 วิธี โดยนพ.มนัส กนกศิลป์ ได้ออกมาถึงเหตุผลที่ว่า บั้งไฟพญานาคไม่น่าที่จะเกิดจาก
น้ำมือของมนุษย์ ได้ตั้งข้อสมมติฐานแย้งเช่น



-คนที่กระทำต้องแข็งแรงมากเพราะกระแสน้ำมันแรงมาก ในขณะที่คนธรรมดากอดเสา

อยู่ในน้ำยังทรงตัวไม่อยู่
-นพ.มนัส กนกศิลป์ ได้เริ่มศึกษาเมื่อปี 2522 ก็มีบั้งไฟพญานาคขึ้นมาแล้ว 120 ปี 

ซึ่งจริง ๆ แล้ว ต้องเกิดขึ้นนานกว่านี้อีก เนื่องจากคนที่ทำคนนี้ต้องมีอายุมากกว่า 104 ปี
แล้วต้องทำด้วยตัวเองจึงจะคุมความลับได้


-การเกิดของบั้งไฟ เกิดขึ้น 52 ตำแหน่งประมาณ 1,500 – 2,500 ลูก คนที่ทำต้องมีเงิน

จ้างคนไปประดาน้ำทำเรื่องนี้
-ทานกระแสน้ำที่ลึกมากและกลัวที่จะโดนเอ็ม 16 ของหน่วย นปข.ซึ่งเขาก็บอกอีกว่า

มันขึ้นเฉียดเรือเขาเลย เป็นต้น




Queen of Nagas

ภาพ ถ่ายเมื่อ พ.ศ. 2540 ทหารแห่งกองทัพสหรัฐอเมริกา กับปลาน้ำลึกชื่อ oar fish 

ที่มักจะเข้าใจว่าเป็นพญานาค ภาพนี้ตีพิมพ์ซ้ำหลายต่อหลายครั้ง และยังพิมพ์เป็น
โปสเตอร์ขนาดใหญ่วางขายทั่วไปในประเทศไทยและลาว


มี ผู้อ้างว่า รูปนี้ถ่ายเมื่อ วันที่ 27 มิ.ย. 2511 เมื่อทหารอเมริกันที่ตั้งฐานทัพอยู่ในประเทศลาว 

จับสัตว์ชนิดหนึ่งได้ในแม่น้ำโขง ชาวลาวเรียกกันว่า "นางพยานาก" หรือนางพญานาค หรือ 
นางพยานาก ในภาษาลาว (Queen of Nagas) วัดความยาวได้ ประมาณ 7.80 เมตร 
ที่จริงแล้วก็คือ ปลาออร์" (Oarfish, Dragon of the Deep')

รูปนี้มาจากนิตยสาร All Hands ของกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาเมื่อ พ.ศ. 2540



นาน มาแล้วที่ชาวเรือเล่าลือถึง "มังกรทะเลลึก" (Dragons of The Deep) มีนิยายเก่าแก่

บรรยายว่า "มังกรทะเลมีลำตัวยาวคล้ายงู หัวเหมือนม้า มีขนคอสีแดงดุจเปลวเพลิง" 
ชาวประมงเคยพบขณะแล่นเรือหาปลาในทะเล นักชีววิทยา ค้นคว้าพบความจริงว่า 
ที่แท้แล้วคือ ปลาประหลาดชนิดหนึ่ง เรียกว่า ปลาใบพาย หรือ ปลาริบบิ้น หรือ ปลาออร์


เป็น ปลาน้ำลึก มีขากรรไกรยาว หน้าผากโหนกคล้ายม้า ตาโต ครีบบนหลังยื่นออกมายาว

เลยหัว มีครีบพิเศษยื่นออกมาทั้งสองข้างของส่วนหัวคล้ายใบพาย และมีลำตัวแบน 
ปลาชนิดนี้หาดูยาก เพราะอาศัยในระดับความลึกถึง 3,000 ฟุต ส่วนใหญ่พบในสภาพ
ที่ตายแล้ว เพราะถ้าพลัดหลงมาน้ำตื่น จะตายทันที พบตัวใหญ่ที่สุดยาวถึง 200 ฟุต 
แม้มีขนาดใหญ่โตอย่างไร แต่ก็ไม่เป็นอันตราย เพราะไม่มีเขี้ยวหรืออาวุธ แต่เป็นสัตว์โลก
แสนสวยน่าดูมาก ดังนั้นที่มีผู้อ้างว่าจับปลาชนิดนี้ได้ที่แม่น้ำโขงจึงเป็นไปไม่ได้ 
เพราะเป็นปลาน้ำเค็ม ซ้ำเป็นปลาน้ำลึกมาก ยืนยันได้ว่าปลาตัวนี้ ไม่ใช่พญานาค 
อาจเป็นไปได้ที่ผู้เริ่มเผยแพร่รูปภาพนี้มีวัตถุประสงค์แอบแฝง




จุดชมบั้งไฟพญานาค

การ ชมบั้งไฟพญานาคนั้นนอกจากจะรู้วันแล้ว ยังต้องรู้เวลา รู้สถานที่ ที่มีแนวโน้มการเกิด

บั้งไฟพญานาคอีกด้วย ตำแหน่งที่บั้งไฟพญานาคมักจะปรากฏให้เห็นว่า ทั่วทั้ง จ.หนองคาย 
มีอยู่ทั้งหมดประมาณ 20 จุด โดยในจ.หนองคายเกิดขึ้นหลายจุด แต่จุดที่เกิดขึ้นเป็นประจำ
ทุกปี มีผู้พบเห็นบ่อยครั้งเริ่มจากที่ อ.สังคม บริเวณ "อ่างปลาบึก" บ้านผาตั้ง บริเวณหน้า
ที่ว่าการอำเภอสังคม ต่อมาที่บริเวณ "วัดหินหมากเป้ง" อ.ศรีเชียงใหม่


ถัด จากนั้นก็จะพบในเขตอำเภอเมืองบ้านหินโงม ต.หินโงม อ.เมือง หน้าสถานีตำรวจ

ภูธรตำบลบ้านเดื่อ ต.บ้านเดื่อ อ.เมือง พอเข้าสู่เขต อ.โพนพิสัยก็จะพบแทบจะตลอด
ลำน้ำโขง ตั้งแต่ปากห้วยหลวง ต.ห้วยหลวง อ.โพนพิสัย ในเขตเทศบาล ต.จุมพล 
หน้าวัดไทย วัดจุมพล วัดจอมนาง หนองสรวง เวินพระสุก ท่าทรายรวมโชค ต.กุดบง 
บ้านหนองกุ้ง ซึ่งที่ อ.โพนพิสัยจะพบมากที่สุด แล้วมาพบอีก ที่กิ่งอ.รัตนวาปี บริเวณ 
ปากห้วยเป บ้านน้ำเป วัดเปงจาเหนือ บ้านหนองแก้ว ในเขตอ.ปากคาด บ้านปากคาด
มวลชล ห้วยคาด อ.ปากคาด และที่ อ.บึงกาฬ บริเวณวัดอาฮง ตำบลหอคำ อ.บึงกาฬ 
ซึ่งเป็นจุดที่ชาวหนองคายเชื่อกันว่าเป็นสะดือแม่น้ำโขง เป็นเมืองหลวงของเมืองบาดาล 
ก็ปรากฏบั้งไฟพญานาคให้เห็นเช่นกัน


ทาง ด้านจังหวัดอุบลราชธานี มีชาวบ้านพบเห็นมา 2-3 ปี แล้วและทางอ.โขงเจียมก็ได้

พิสูจน์มาแล้วว่ามีจริง โดยการเข้าชมปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค อ.โขงเจียมปีนี้ 
กำหนดจุดชมไว้ 3 แห่ง คือ บ้านกุ่ม บ้านท่าล้ง และบ้านตามุย

สำหรับระยะเวลาในการขึ้นของบั้งไฟพญานาคนั้นจะขึ้น ระหว่างตะวันตกดินถึงประมาณ 

23.00 น.ก็จะหมดไป




พญานาค

นาค หรือ พญานาค งูใหญ่มีหงอน สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ 

ความมีวาสนา และนาคยังเป็นสัญลักษณ์ของบันไดสายรุ้งสู่จักรวาล

นาคเป็นเทพเจ้าแห่งท้องน้ำ บางแห่งก็ว่าเป็นเทพเจ้าแห่งฟ้า




ตำนาน ความเชื่อเรืองพญานาคมีความเก่าแก่มาก ดูท่าว่าจะเก่ากว่าพุทธศาสนาอีกด้วย 

สืบค้นได้ว่ามีต้นกำเนิดมาจากอินเดียใต้ ด้วยเหตุจากภูมิประเทศทางอินเดียใต้เป็นป่าเขา
จึงทำให้มีงูอยู่ชุกชุม และด้วยเหตุที่งูนั้นลักษณะทางกายภาพคือมีพิษร้ายแรง งูจึงเป็น
สัตว์ที่มนุษย์ให้การนับถือว่ามีอำนาจ ชาวอินเดียใต้จึงนับถืองู


เป็น สัตว์เทวะชนิดหนึ่งในเทพนิยายและตำนานพื้นบ้าน บ้างก็ว่าเป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ 

มีความเชื่อเรื่องพญานาคแพร่หลายในภูมิภาคต่างๆ ทั่วทวีปเอเชีย โดยเรียกชื่อต่างๆ กัน

ต้นกำเนิดความเชื่อเรื่องพญานาคน่าจะอยู่ที่ อินเดีย ด้วยมีนิยายหลายเรื่องเล่าถึงพญานาค 

โดยเฉพาะในมหากาพย์มหาภารตะ ซึ่งถือเป็นปรปักษ์ของพญาครุฑ ส่วนในตำนาน
พุทธประวัติ ก็เล่าถึงพญานาคไว้หลายครั้งด้วยกัน


ใน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีตำนานเรื่องพญานาคอย่างแพร่หลาย ชาวบ้านในภูมิภาคนี้

มักเชื่อกันว่าพญานาคอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขง หรือเมืองบาดาล และเชื่อกันว่าเคยมีคนเคยพบ
รอยพญานาคขึ้นมาในวันออกพรรษาโดยจะมีลักษณะคล้าย รอยของงูขนาดใหญ่ และเมื่อ
ไปเล่นน้ำในแม่น้ำโขงควรยกมือไหว้เพื่อเป็นการสักการะสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์



ลักษณะ ของพญานาคตามความเชื่อในแต่ละภูมิภาคจะแตกต่างกันไป แต่พื้นฐานคือพญานาค

นั้นมีลักษณะตัวเป็นงูตัวใหญ่มีหงอนสีทองและตาสีแดง เกล็ดเหมือนปลามีหลายสีแตกต่าง
กันไปตามบารมี บ้างก็มีสีเขียว บ้างก็มีสีดำ หรือบ้างก็มี7สี และที่สำคัญคือนาคตระกูลธรรมดา
จะมีเศียรเดียว แต่ตระกูลที่สูงขึ้นไปนั้นจะมีสามเศียร ห้าเศียร เจ็ดเศียรและเก้าเศียร



นาค จำพวกนี้จะสืบเชื้อสายมาจาก พญาเศษนาคราช(อนันตนาคราช) ผู้เป็นบัลลังก์ของ

พระวิษณุนารายณ์ปรมนาท ณ เกษียรสมุทร อนันตนาคราชนั้นเล่ากันว่ามีกายใหญ่โตมหึมา
มีความยาวไม่สิ้นสุด มีพันศีรษะ พญานาคนั้นมีทั้งเกิดในนำและบนบก เกิดจากครรภ์และ
จากไข่ มีอิทฤทธิ์สามารถบันดาลให้เกิดคุณและโทษได้ นาคนั้นมักจะแปลงร่างเป็นมนุษย์
รูปร่างสวยงาม





ความเชื่อเกี่ยวกับคุณลักษณะและคุณสมบัติ

พญา นาค หรือ งูใหญ่มีหงอน ในตำนานของฝรั่ง หรือชาวตะวันตก ถือว่าเป็นตัวแทน

ของกิเลส ความชั่วร้าย ตรงข้ามกับชาวตะวันออก ที่ถือว่า งูใหญ่ พญานาค มังกร เป็น
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ พลังอำนาจ ชาวฮินดูถือว่า พญานาคเป็นผู้ใกล้ชิดกับเทพองค์ต่างๆ เป็น
เทพเจ้าแห่งน้ำ เช่น อนันตนาคราช ที่เป็นบัลลังก์ของพระนารายณ์ตรงกับความเชื่อ
ของลัทธิพราหมณ์ ที่เชื่อว่า นาค เป็นเทพแห่งน้ำ เช่นปีนี้ นาค ให้น้ำ 1 ตัว แปลว่า 
น้ำจะมาก จะท่วมที่ทำการเกษตร ไร่นา ถ้าปีไหน นาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อย ตัวเลข
นาคให้น้ำจะกลับกันกับเหตุการณ์ เนื่องจาก ถ้านาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อยเพราะนาค
กลืนน้ำไว้


พญา นาค งูใหญ่ มีหงอน สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา 

และ บันไดสายรุ้งสู่จักรวาล เป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ จากการจำศีล บำเพ็ญภาวนา ศรัทธาใน
พุทธศาสนา ไม่เบียดเบียนผู้อื่น เราจะพบเห็น เป็นรูปปั้นหน้าโบสถ์ ตามวัดต่างๆบันได
ขึ้นสู่วัดในพุทธศาสนา ภาพเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง กับศาสนาพุทธอีกมากมาย


พญา นาค เป็นสัตว์มหัศจรรย์ ที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถแปลงกายได้ พญานาค 

มีอิทธิฤทธิ์ และมีชีวิตใกล้กับคน พญานาค สามารถแปลงเป็นคนได้ เช่นคราวที่แปลง
เป็นคนมาขอบวชกับพระพุทธเจ้า ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึงนาคที่ชื่อ ถลชะ 
ที่แปลว่า เกิดบนบก จะเนรมิตกายได้เฉพาะบนบก และนาคชื่อ ชลซะ แปลว่า เกิดจาก
น้ำ จะเนรมิตกายได้เฉพาะในน้ำเท่านั้น


พญา นาค ถึงแม้จะเนรมิตกายเป็นอะไร แต่ในสภาวะ 5 อย่างนี้ จะต้องปรากฏเป็นงูใหญ่

เช่นเดิม คือ ขณะเกิด ขณะลอกคราบ ขณะสมสู่กันระหว่างนาคกับนาค ขณะนอนหลับ 
โดยไม่มีสติ และที่สำคัญ ตอนตาย ก็กลับเป็นงูใหญ่เหมือนเดิม


พญา นาค มีพิษร้าย สามารถทำอันตรายผู้อื่นได้ด้วยพิษ ถึง 64 ชนิด ซึ่งตามตำนาน

กล่าวว่า สัตว์จำพวกงู แมงป่อง ตะขาบ คางคก มด ฯลฯ มีพิษได้ ซึ่งก็ด้วยเหตุที่ 
นาคคายพิษทิ้งไว้ แล้วพวกงูไปเลีย พวกที่มาถึงก่อนก็เอาไปมาก พวกมาทีหลัง เช่น 
แมงป่อง กับ มด ได้พิษน้อย แค่เอาหาง เอากันไปป้ายเศษพิษ จำพวกนี้จึงมีพิษน้อย 
และพญานาคต้องคายพิษทุก 15 วัน


พญา นาค อาศัยอยู่ใต้ดิน หรือบาดาล คนโบราณเชื่อว่าเมื่อบนสวรรค์มีเทพอาศัยอยู่ลึก

ลงไปใต้พื้นโลก ก็น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวว่า ที่ที่นาค
อยู่นั้นลึกลงไปใต้ดิน 1 โยชน์ หรือ 16 กิโลเมตร มีปราสาทราชวังที่วิจิตรพิสดารไม่แพ้สวรรค์ 
ที่มีอยู่ถึง 7 ชั้น เรียงซ้อนๆ กัน ชั้นสูงๆ ก็จะมีความสุขเหมือนสวรรค์

พญานาค สามารถผสมพันธุ์กับสัตว์ชนิดอื่นได้ แปลงกายแล้วผสมพันธุ์กับมนุษย์ได้ 

 เมื่อนาคตั้งท้องจะออกลูกเป็นไข่เหมือนงู มีทั้งพันธุ์เศียรเดียว 3, 5 และ 7 เศียร


สามารถ ขึ้นลง ตั้งแต่ใต้บาดาลพื้นโลก จนถึงสวรรค์ ในทุกตำนานมักจะกล่าวถึงนาคที่ขึ้น-ลง 

ระหว่างเมืองบาดาล กับเมืองสวรรค์ ที่จะแปลงกายเป็นอะไรตามที่คิด ตามสภาวะเหตุการณ์นั้นๆ

จะเห็นว่า พญานาค หรือ งูใหญ่ นั้นมีความเป็นมาและถิ่นที่อยู่เป็นสัดส่วนในภพหนึ่งต่างหาก 

จะมีเป็นบางครั้งที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้ พญานาค เป็นทั้งเอกลักษณ์ของความดี และความไม่ดี



ความเชื่อในดินแดนต่างๆ ของไทย


นาค ล้วนมีส่วนร่วมในตำนานอย่างชัดเจน เช่น ผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำโขงเชื่อว่า 

แม่น้ำโขงเกิดจากการแถตัวของพญานาค นอกจากนี้ยังรวมถึงบั้งไฟพญานาค โดยมีตำนาน
ว่าในวันออกพรรษาหรือเป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จจากสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์ พญานาคแห่ง
แม่น้ำโขงต่างชื่นชมยินดี จึงเฮ็ด(จุด)บั้งไฟถวายการเสด็จกลับของพระพุทธเจ้าจนกลาย
เป็นประเพณีทุกปี

และ เนื่องจากเชื่อว่าพญานาคเป็นเจ้าบาดาล เป็นผู้ให้กำเนิดน้ำ ดังนั้นเมื่อชาวนาจะทำ

พิธีแรกไถนา จึงต้องดูวัน เดือน ปี และทิศที่จะบ่ายหน้าควายเพื่อไม้ให้ควายลากไถไปใน
ทิศที่ทวนเกล็ดนาค ไม่อย่างนั้นการทำนาจะเกิดอุปสรรคต่างขึ้น


ลูก ไฟแดงอมชมพู ที่พุ่งขึ้นจากแม่น้ำโขง สู่ท้องฟ้าในวันออกพรรษา ที่บริเวณเขต 

อ.โพนพิสัย เห็นจนชินและเรียกสิ่งนี้ว่า "บั้งไฟพญานาค" เพราะลูกไฟที่ว่านี้จะเป็นลูกไฟ 
สีแดงอมชมพู ไม่มีเสียงไม่มีควัน ไม่มีเปลว ขึ้นตรง ไม่โค้งและตกลงมาเหมือนลูกไฟทั่วไป 
จะดับกลางอากาศ สังเกตได้ง่ายจากลูกไฟทั่วไป จะเกิดขึ้นในเขตตั้งแต่ บริเวณค่าย ตชด.
(อ่างปลาบึก), วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่, ท่าน้ำวัดหลวง ต.วัดหลวง เรื่อยลงไปจนถึง 
เขตบ้านน้ำเป กิ่ง อ.รัตนวาปี แต่ก่อนจะเห็นเกิดขึ้นเฉพาะท่าน้ำวัดหลวง, วัดจุมพล, 
วัดไทย และท่าน้ำวัดจอมนาง อ.โพนพิสัยแต่ทุกวันนี้จะเห็นเกิดที่บ้านน้ำเป, บ้านท่าม่วง, 
ตาลชุม, ปากคาด และ แก่งอาฮง อ.บึงกาฬ



ก่อน นี้คน อ.โพนพิสัย เห็นแล้วเฉยๆ เพราะเห็นประจำทุกปีในวันออกพรรษา ผู้เขียนสมัย

เมื่ออายุยังน้อย เมื่อปี 2508 (เป็นคน อ.โพนพิสัย) เมื่อวันออกพรรษา ได้ไปนั่งดูอยู่ที่
ท่าน้ำวัดไทย อ.โพนพิสัย และได้ลงเรือไปไหลเรือไฟด้วย เมื่อไหลเรือไฟมาถึงบริเวณ
ท่าน้ำวัดหลวงก็จะเริ่มเห็นลูกไฟดังกล่าวพุ่งขึ้น จากแม่น้ำโขง ขึ้นสูงไม่เกิน 2-3 วา นานๆ 
จะพุ่งขึ้นที จะขึ้นก็ต่อเมื่อประชาชนบนฝั่งเวียนเทียนเสร็จ เงียบ ลูกไฟถึงจะขึ้นให้เห็น 
แต่ทุกวันนี้ เมื่อ 18.00 น. ก็ขึ้นแล้วขึ้นสูงถึง 200-300 เมตร และขึ้นแต่ละทีก็มากด้วย 
ตั้งแต่ 5-20 ลูกติดต่อกัน


สังเกต ว่า ลูกไฟนี้หากขึ้นกลางโขงจะเบนเข้าหาฝั่ง หากขึ้นใกล้ฝั่งจะเบนออกกลางโขง 

ลูกไฟนี้จะขึ้นเฉพาะวันออกพรรษาเท่านั้น แต่ถ้าหากวันพระไทยไม่ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ 
ของลาว ลูกไฟนี้ก็จะไม่ขึ้น ปีไหน (วันออกพรรษา) ตรงกันทั้งไทย และ ลาว ลูกไฟนี้
จะขึ้นมาก เชื่อกันว่าที่ เขต อ.โพนพิสัย มีเมืองบาดาล อยู่ใต้พื้นดินและเป็นทางออกสู่
เมืองมนุษย์ เรียกว่า เป็นเมืองหน้าด่านจึงมีบั้งไฟพญานาค เกิดขึ้นเป็นประจำที่นี้ 
ส่วนเมืองหลวงนั้นอยู่ที่ แก่งอาฮง อ.บึงกาฬ ที่ว่าอย่างนั้นเพราะที่แก่งอาฮง เมื่อหน้าแล้ง
จะมีสะดือแม่น้ำโขง ตลอดความยาวของแม่น้ำโขง ที่ไหลผ่านหลายประเทศ 
ตรงที่ลึกที่สุดก็อยู่ที่แก่งอาฮง


เมื่อ หน้าแล้ง ชาวประมงวัดโดยใช้เชือกผูกก้อนหินหย่อนลงไปได้ 99 วา ที่นี้จะมีลูกไฟ

ขึ้นเป็นสีเขียวนวล บ่อยครั้งที่ชาวลุ่มแม่น้ำโขงต้องเสียชีวิตลงในระหว่างการเดินทาง
ทางน้ำ พวกเขาเชื่อว่าเป็นการกระทำผิดต่อเจ้าแม่สองนาง หรือ เทพเจ้าทางน้ำ จึงถูก
ลงโทษเหตุนี้เรียกว่า “เงือกกิน” “เงือก, งู” เป็นสิ่งเดียวกันกับพญานาค แต่พญานาคนั้น
มีภพเป็นที่อยู่อีกมิติหนึ่ง สามารถแปลงร่างได้หลายชนิด แปลงกายเป็นมนุษย์ หรือ 
อะไรก็ได้ เพียงแค่คิดเท่านั้นรูปร่างก็เปลี่ยนไปแล้ว จึงได้ปรากฏอยู่บ่อยๆ ว่ามีคนเห็น
งูใหญ่ หรือเห็นคนเดินลงไปในน้ำ


หรือ หลายครั้งที่มีคนพบรอยประหลาดแต่ก็เชื่อว่าเป็นรอยพญานาคที่เกิดขึ้นในเขต 

อ.โพนพิสัยหรือที่อื่นๆ แม้แต่กลางกรุงเทพ ฯ ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว แต่หากคิดว่าทำไม
และเกิดขึ้นได้อย่างไรนั้น และทำไมจะต้องเกิดขึ้นเฉพาะในวันออกพรรษาเท่านั้น 
และจะต้องตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ ของลาวจึงเชื่อได้ว่าพญานาค มีสัญชาติเชื้อชาติ 
ลาว ถึงแม้จะเกิดขึ้นทางฝั่งไทยก็ตาม


นับ ว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อ และเป็นสิ่งมหัศจรรย์แห่งลุ่มแม่น้ำโขงที่แท้จริง เพราะลูกไฟ

ประหลาดหรือที่เรียกว่า “บั้งไฟพญานาค” นี้เกิดขึ้นเฉพาะในเขต จ.หนองคายเท่านั้น 
ตามแนวแม่น้ำโขง ไม่มีขึ้นที่อื่นแม้จะอยู่ตามริมแม่น้ำโขงเช่นกัน จึงนับได้ว่าหนองคาย
กับเวียงจันทน์ สมัยก่อนนั้นการปกครองและการสร้างเมืองโดยพญานาค จึงได้รับอิทธิพล
นี้เช่นกัน ถึงแม้ว่าจะถูกแยกการปกครอง และแยกประเทศออกจากกัน แต่ในความเป็นจริง
ทางภูมิศาสตร์ก็เป็นพื้นที่เดียวกัน ตำนานประเพณีต่างๆ ของคนแถบลุ่มแม่น้ำโขง 
จะเกี่ยวข้องกับพญานาคกันทั้งนั้น เพราะพญานาค หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ทางการ
เกษตร และความเป็นอยู่ของมนุษย์


ที่ กล่าวมาทั้งหมดนั้นก็เพื่อ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ พญานาค ก่อนว่ามีความเป็นมาอย่างไร 

และ สำคัญอย่างไร กับเมืองหนองคาย-เวียงจันทน์ และทำไม”บั้งไฟพญานาค”จึงได้เกิดขึ้น
เฉพาะเขต จ.หนองคาย เท่านั้น และที่สำคัญจะเกิดขึ้นเฉพาะวันขึ้น 15 ค่ำ ที่ตรงกันระหว่าง 
ไทย-ลาว หากปีไหนแปดสองหนบั้งไฟพญานาค ก็จะเลื่อนไปขึ้นในวันพระลาว (15 ค่ำลาว) 
เป็นเรื่องที่ท้าทายให้มาดูมหัศจรรย์แห่งลุ่มแม่น้ำโขง



บั้ง ไฟพญานาคว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมจึงต้องเกิดในวันดังกล่าวเท่านั้น ใครทำเพื่ออะไร 

และ ได้อะไรจากการกระทำดังกล่าว เชื่อว่าหลายคนยังต้องการไปพิสูจน์ความมหัศจรรย์นี้อยู่
 (ตำนานพระพุทธศาสนา กล่าวว่า เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพระมารดา บนดาวดึงส์ 
ครบ 3 เดือน เมื่อเสด็จกลับโลกมนุษย์ พญานาคได้เนรมิตบันไดแก้ว เงิน ทอง เสด็จลงมา 
มนุษย์ เทวดา พญานาค ได้ฉลองสมโภชด้วยการจุดบั้งไฟถวาย โดยเฉพาะเหล่าพญานาค 
ดังนั้นต่อมาเหล่าพญานาคจึงได้ถือเอาวันออกพรรษาเป็นวันสำคัญ)



พญานาคกับตำนานปรัมปราของไทย

เหตุที่พระสุกจมน้ำ ที่เวินสุก บ้านหนองกุ้ง อำเภอโพนพิสัย
มี การเล่าขานถึงความศรัทธาของพญานาคว่า เหล่าพญานาค นั้นเป็นผู้ที่มีความเคารพ 

และศรัทธาในพระพุทธเจ้ามาก หลังจากที่มีการสร้างพระพุทธรูปขึ้นที่เมืองล้านช้าง 
ประเทศลาว ความทราบถึงเหล่าพญานาค ที่อยู่เมืองบาดาล จึงได้แปลงกายขึ้นไปขอ
พระพุทธรูปกับเจ้าเมืองล้านช้าง โดยเจาะจงขอเอาพระสุก เพื่อไปไหว้สักการะบูชา 
ที่เมืองบาดาล ปกติเหล่าพญานาคเป็นผู้ที่ถือศีลแปดเคร่งครัดมาก พญานาค จะไม่
ทำร้ายใคร ส่วนมนุษย์ตายในน้ำที่ว่าเงือกกินนั้น เงือกก็คือ พญานาค ชั้นเลว ประพฤติ
ตนเกเร จึงชอบทำร้ายมนุษย์ตามน้ำ เดี๋ยวนี้พระสุกก็ยังจมอยู่ในแม่น้ำโขง ที่ที่เป็นที่อยู่
ของเหล่า พญานาค ในเมืองบาดาล เวินสุกอยู่ตรงข้ามกับบ้านหนองกุ้ง อำเภอโพนพิสัย 
จังหวัดหนองคาย ตรงนั้นเป็นบริเวณปากน้ำงึมไหลลงมาออกแม่น้ำโขง เป็นแม่น้ำสองสี



เมืองพญานาค หรือเมืองบาดาล
ใน เมื่อมีเมืองมนุษย์ หรือโลกมนุษย์ โลกสวรรค์ หรือเมืองสวรรค์ ก็ต้องมีเมืองบาดาล 

(เมืองพญานาค) สองเมืองนอกจากเมืองมนุษย์แล้วหลายคนก็คงต้องอยากไปเห็นแน่ 
วิสัยของมนุษย์ชอบในสิ่งที่ท้าทาย ยิ่งห้ามก็ยิ่งอยากพบ อยากเห็นเมืองบาดาลอยู่ใต้
เมืองมนุษย์ลงไปในใต้ดิน 16 กิโลเมตร (ตามความเชื่อ) มีคำเล่าลือเกี่ยวกับเมืองบาดาล
ในเขต อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย


 ภาพและข้อมูลจาก http://board.postjung.com

พญานาคเล่นน้ำโขงเชียงแสน 

ช่างภาพลำปางพบพญานาคน้ำโขง ระหว่างทำพิธีบวงสรวงที่เชียงแสน ถ่ายติดแค่รูปเดียว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (19 ต.ค.) ขณะที่นายวีระศักดิ์ ศิริสิทธิ์ นายอำเภอเชียงแสน 
จังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยชาวเชียงแสน ร่วมกันประกอบพิธีสงฆ์ในการบวงสรวงพญานาค
บริเวณศาลาริมโขง ที่ทำการอำเภอเชียงแสน นายปราโมทย์ เทพพิทักษ์ อายุ 63 ปี
ช่างภาพชาวลำปาง และชาวบ้านอีก 3 คน ได้เห็นสิ่งผิดปกติในแม่น้ำโขง และกำลัง
แหวกว่ายมาที่จุดทำพิธี แต่ถ่ายภาพติดได้รูปเดียว สร้างความฮือฮาเป็นอย่างมาก
หลายคนเชื่อว่าเป็นพญานาคอย่างแน่นอน
โดยนายปราโมทย์ เล่าว่า ตนมีความเชื่อว่าเป็นพญานาคอย่างแน่นอน ซึ่งตนดีใจอย่างมาก
ที่สามารถถ่ายติดรูปดังกล่าว และจะเก็บไว้บูชา เพราะตนเองมีความเชื่อในเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว
เช่นเดียวกับผู้ที่เห็น ก็เชื่อว่าน่าจะเป็นพญานาคอย่างแน่นอน เพราะหากเป็นงู หรือต้นไม้
เพราะเห็นไม่นานก็หายไป ซึ่งเห็นเพียง 10 วินาที เท่านั้น
ขณะที่ผลสรุปบั้งไฟพญานาค ที่จังหวัดหนองคายพบ 844 ลูก และที่จังหวัดบึงกาฬพบ
 72 ลูก โดยนักท่องเที่ยวตั้งใจรอชมบั้งไฟพญานาคในพรุ่งนี้ (20 ต.ค.) อีก 1 วัน
 เนื่องจากในปีนี้วันออกพรรษาไทย กับวันออกพรรษาลาว ไม่ตรงกัน ทำให้มีบั้งไฟ
พญานาค 2 วัน

 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น