วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557

รถไฟหายเข้าไปในอุโมงค์ ๔๒ ปี จู่ๆก็โผล่ออกมา ทุกคนอายุเท่าเดิม...!!

เรื่องประหลาดนี้เกิดขึ้นที่ประเทศอิตาลี บรรดาเจ้าหน้าที่รัฐบาลพากันปิดปากเงียบ ที่ขบวนรถด่วนขบวนหนึ่งพร้อมกับผู้โดยสารหายลึกลับอย่างไร้ร่องรอย ขณะเคลื่อนเข้าไปในอุโมงค์แห่งหนึ่งเมื่อปีพ.ศ.๒๔๙๒ แล้วจู่ๆโผล่ออกมาอีกในสภาพเดิมทุกอย่าง 


และเมื่อต้นปีนี้คือ พ.ศ.๒๕๓๕ ที่ประหลาดยิ่งขึ้น ผู้โดยสารจำนวน ๑๒๐ คน และพนักงานประจำรถ ๓ คน มีอายุเท่ากับวันที่หายเข้าไปในอุโมงค์ไม่มีใครแก่อายุมากขึ้นสักวันเดียว รูปร่างเหมือนเดิมทุกอย่าง และพวกเขายังเชื่อว่า ทุกวันนี้ยังเป็น พ.ศ. ๒๔๙๒ อยู่ รัฐบาลอิตาลีเก็บเรื่องนี้เงียบที่จะพูดถึงขบวนรถด่วนหมายเลข เอฟ ๖๒๖ และยังไม่ยอมพูดถึงว่าเอาขบวนรถนั้นไปไว้ที่ไหนด้วย  

                           

ไม่ใช่แต่เพียงเท่านั้น ยังคอยจับตาผู้โดยสารทุกคนเว้นแต่มี ๒ คน ที่เป็นชาวต่างประเทศหลบหนีการสอบสวนไป ส่วนพนักงานประจำรถ ๓ คน รัฐบาลได้เก็บตัวไว้ใน...สถานที่หนึ่ง ไม่ยอมเปิดเผยต่อสาธารณชน

ข่าวการหายไปของขบวนรถด่วน เอฟ ๖๒๖ หายลึกลับไป ๔๒ ปี และโผล่กลับมาอีกนั้น แม้ว่าทางการ พยายามปิดข่าว แต่หนังสือพิมพ์อิตาลีเกือบทุกฉบับสามารถที่จะติดตามมาเสนอได้ พยานทีได้รับทราบเหตุการณ์ครั้งนี้เผย ตั้งแต่เริ่มต้นที่ขบวนรถด่วนนี้มีด้วยกัน ๑๓ โบกี้ หายเข้าไปในอุโมงค์ รถไฟที่มีความยาว ๑ ใน ๔ ไมล์อย่างลึกลับไม่ยอมโผล่ออกไปอีกทางหนึ่ง เจ้าหน้าที่จึงปิดอุโมงค์ทำการค้นหา ซึ่งมีทั้งตำรวจและ นักวิทยาศาสตร์ โดยได้ค้นทุกตารางนิ้ว แต่ไม่พบร่องรอยแม้แต่น้อยว่ามันหายไปได้อย่างไร รางถึงกับรื้อออกแล้วนำมาวางใหม่ 

เมื่อค้นหากันไม่พบทำให้หลายคนเชื่อว่า มนุษย์ต่างดาวได้ทำการโจรกรรมโขมยรถด่วนนี้ไป ตามรายงานของ นสพ.อุโมงค์ได้เปิดอีกครั้งหนึ่งเมื่อปี ๒๔๙๓ ตั้งแต่นั้นมา แม้ว่าจะมีขบวนรถไฟผ่านไปมาเป็นพันขบวนก็ไม่มีอุบัติเหตุอันแปลก ประหลาดลี้ลับนั้นเกิดขึ้นอีกเลย แต่อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลาหลายปีมานี้ก็มีคนพยายามค้นหาขบวนรถด่วน เอฟ ๖๒๖ แต่ก็พบว่ามีแต่ความว่างเปล่า บางคนถึงกับสรุปว่า รถขบวนนี้ถูกหุ้มห่อด้วยกาลเวลาและเดินทางไปสู่อนาคตอันไกลพ้น


เรื่องราวแบบนี้เคยเกิดขึ้นในสหรัฐ เรืออินเซอร่า ซึ่งเป็นเรือคุ้มครองเรือประจัญบานของกองทัพเรือสหรัฐจู่ๆก็หายอย่างลึกลับจากอู่เรือที่ฟิลาเดลเฟียในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ แต่แล้วจู่ๆก็ไปปรากฏตัวที่ฐานทัพเรือนอร์ฟอร์ด ซึ่งทุกวันนี้ยังหาคำตอบไม่ได้ เมื่อรัฐบาลปิดข่าว หนังสืออิตาลีก็พยายามที่จะขุดค้นออกมา ในที่สุดหนังสือพิมพ์โรมเดลี่ที่ขายดีมากสามารถไปคว้าเอาเทปมาริโอ ฟรานซินี ช่างเครื่องรถไฟขบวนนี้มาตีแผ่ได้ ซึ่งมีดังนี้ 

'ขณะที่ขบวนรถเคลื่อนเข้าไปในอุโมงค์นั้น ไม่นานนักก็มีหมอกสีขาวหนาลอยฟ่อง สมองรู้สึกปั่นป่วนไปหมด จากนั้นก็หมดสติไม่รู้สึกตัว มาได้สติอีกครั้งหนึ่งเมื่อขบวนรถได้ออกจากอุโมงค์แล้ว เราคิดว่าเวลาคงจะห่างกันไม่ถึงนาทีดี แต่ที่ไหนได้ เมื่อขบวนรถเรากลับมาถึงสถานีโบล้อคน่าถึงได้ทราบว่า ได้ห่างกันถึง ๔๒ ปี นี่คือสิ่งเดียวที่เรารู้ ' 

ผู้โดยสารอื่นๆก็ให้การคล้ายคลึงกันว่า มีหมอกลงจัดเมื่อเวลาเข้าอุโมงค์แล้วก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย ผู้โดยสารขบวนรถด่วน เอฟ ๖๒๖ ซึ่งเป็นชาวต่างประเทศ ๒ คน ที่หลบการให้การคือ อดอล์ฟ โรเนอร์เป็นชาวเยอรมันกับมาร์ติน บาร์ตเลตต์ ชาวแอฟริกาใต้ สำหรับโรเนอร์มีนักข่าวอิตาลีได้โทรศัพท์ไป หลอกถาม โดยอ้างว่าเป็นผู้โดยสารรถด่วนนั้นด้วยกัน โรเนอร์ได้เล่าว่า ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปมาก ตอนที่เขาหายไปพร้อมกับขบวนรถไฟนั้นเขาอายุ ๓๐ ปีมีลูกชายอายุ ๑๐ ขวบ ' เดี๋ยวนี้ลูกชายผมอายุ ๕๒ ปีแล้ว อ้วนและเป็นโรคหัวใจ ส่วนภรรยาผมก็ย่างเข้า๗๐ ปีแล้ว กำลังเป็นโรคเบาหวาน ส่วนผมกลับอายุเพียง ๓๐ ปี เท่านั้น เท่ากับเมื่อปี ๒๔๙๒

เรื่องราวเหล่านี้เป็นความลึกลับของโลกที่อธิบายได้ยาก ซับซ้อน น่าอัศจรรย์ใจ ต่อผู้ที่ได้รับฟังเป็นอย่างยิ่ง และเรื่องนี้นับว่าเป็นปริศนาอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ ชวนติดตาม สืบเสาะ ค้นหาที่มาความเป็นมาเป็นไป

ภาพและข้อมูลจาก http://www.iheretravel.com/

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2557

13 หอพักสยองของไทย...เรื่องหลอนๆ ที่น้องปี 1 ต้องรู้!!!

ไม่เชื่อ...ได้โปรดอย่าลบหลู่ Life on campus ขอรับน้องในช่วงรับเทศกาลเปิดเทอมใหม่ ด้วยเรื่องเล่าสุดสยองในหอพัก สิ่งลี้ลับ ความน่าสะพรึงกลัวที่ใครๆ ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่า ที่นี่มีจริงหรือไม่ บางเรื่องถูกกล่าวขานกันว่า หลอนจริง! ขนหัวลุกกันมานักต่อนัก น้องๆ เฟรชชี่คนใด กำลังต้องหอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่หอพัก โปรดระวัง! หอพักดังต่อไปนี้...
       
       หอพักสยองเรื่องที่หนึ่ง : ป๊อก…ป๊อก ครืด (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่)
       
       เรื่องผีสุดสยองอันดับหนึ่งของมหาลัยเชียงใหม่ที่ใครๆ ต้องเคยได้ยิน เพราะความน่ากลัวถึงขั้นนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้ว เรื่องราวที่เล่าต่อๆ กันมาโดยไม่ทราบระยะเวลาเกิดเหตุที่แน่นอน แต่เรื่องราวสุดสยองเรื่องนี้ได้เริ่มต้นขึ้นที่หอหญิงในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่รู้จักกันดีว่า “หอที่ 7” ซึ่งในสมัยนั้นมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ยังเป็นที่รกร้างอยู่มาก ถนนหนทางยังไม่ค่อยดีนัก การเดินทางค่อนข้างลำบากเพราะเป็นถนนลูกรัง เวลาฝนตกก็เต็มไปด้วยโคลน รถไปมาลำบาก ตอนกลางคืนก็ไม่ค่อยมีแสงไฟ... 
       
       เรื่องเกิดกับนักศึกษาสาวคู่หนึ่ง อาศัยอยู่ที่ประมาณ ชั้น 2 หรือ 3 ของหอ 7 ช่วงนั้นเป็นช่วงสอบพอดีนักศึกษาต่างกำลังอ่านหนังสือกันอยู่ มีนักศึกษาหญิงคนหนึ่งไม่สบาย อ่านหนังสือในห้อง ตอนหัวค่ำแล้วรูมเมทชวนไปทานข้าว แต่เพราะเป็นไข้อยู่จึงไปไม่ไหวอยากพักผ่อน รูมเมทอีกคนเห็นเพื่อนสาวไม่สบาย ด้วยความเป็นห่วง จึงบอกว่า“เดี๋ยวจะไปทานข้าวเอง แล้วจะซื้อข้าวมาฝาก”
       
       หลังจากนั้นนักศึกษาสาวที่ป่วยก็เผลอหลับไป และสะดุ้งตื่นมาอีกทีกลางดึก ก็พบว่าเพื่อนร่วมห้องยังไม่กลับมา สักพักก็ได้ยินเสียงดังมาจากชั้นล่างจากทางบันได
13 หอพักสยอง...เรื่องหลอนๆ ที่น้องปี 1 ต้องรู้!!!
       "ป๊อก…ป๊อก…ป๊อก...ครืด...ครืด...ค..รื…ด" เสียงนั้นดังเป็นระยะๆ ใกล้เข้ามา จากทางบันไดดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงเหมือนคนกำลังแบกของหนักบางอย่างขึ้นมา และเสียงนั้นก็ดังมาจนถึงชั้นที่ห้องนักศึกษาหญิงคนนั้นอยู่ เสียงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้อง สักพักหนึ่งก็มีเสียงเคาะห้อง "ก๊อก ก๊อก ก๊อก" แล้วเงียบไป 
     
       นักศึกษาตกใจคิดว่าไม่ใช่เพื่อนแน่แล้ว ถ้างั้นทำไมไม่เปิดเข้ามาเลยจึงเดินไปเปิดประตู ก็พบว่าตรงลูกบิดประตูมีถุงใส่ข้าวแขวนอยู่ ก็แปลกใจว่า “แล้วเพื่อนอยู่ไหน? ทำไมไม่กลับมา?” มีแต่รอยเปียกน้ำ เป็นทางจากบันได คิดต่างๆ นานา แต่แล้วก็แกะข้าวออกมาทานเสร็จก็ทานยาตาม ได้ซักพักก็หลับไป
     
        รุ่งเช้า...มีคนมาเคาะประตูห้องแล้วบอกว่าเพื่อนตายแล้ว นักศึกษาหญิงคนนั้นถูกฆ่าข่มขืน ตรงพงหญ้าข้างทางคาดว่าเหตุเกิดประมาณหัวค่ำ สภาพศพแขนและขาทั้งสองข้างหัก อาจเกิดจากการที่คนร้ายเอาท่อนไม้ทุบตีเพื่อไม่ให้หนี นักศึกษาหญิงที่ตายกำลังเดินทางกลับจากตลาด ไม่แน่ใจว่าเป็นฝายหิน หรือตลาดต้นพยอม หลังจากทานข้าวเสร็จทุกทีจะไปกับเพื่อน แต่เพื่อนไม่สบายจึงไปคนเดียว โดยเพื่อนฝากซื้อข้าวห่อ คนร้ายอาจเห็นว่าเป็นคนเดียวจึงลงมือ "แล้วอาหารที่มาแขวนหน้าห้องเมื่อคืนล่ะ?"
13 หอพักสยอง...เรื่องหลอนๆ ที่น้องปี 1 ต้องรู้!!!
       ไม่มีใครรู้คำตอบแน่ชัด แต่จากที่ฟังกันมา คือหลังจากที่ตายไปแล้วด้วยความเป็นห่วงเพื่อน ที่ไม่สบายและยังไม่ได้รับประทานอาหาร จึงนำอาหารที่เพื่อนฝากซื้อไปส่งให้ แต่แขนหักขาหักหมดแล้ว จึงใช้ปากคาบถุง แล้วใช้คางเกยพาตัวเองมาจนถึงหอพัก และลากตัวเองขึ้นบันไดมา เป็นเสียง ป๊อก…ป๊อก และเสียง...ครืด ที่ได้ยินคือ เสียงลากตัวเองจากบันได มาจนถึงหน้าห้องปรากฎเป็นรอยเปียกน้ำยาวติดต่อกัน หลังจากส่งข้าวให้ได้แล้วก็หมดห่วง ตอนแรกทุกคนไม่เชื่อที่นักศึกษาหญิงคนนั้นเล่า แต่หลังจากที่นักศึกษาที่พักอยู่ข้างๆ ห้องยืนยันว่า ในคืนนั้นได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังยกของหนัก และลากของหนักจากข้างล่างขึ้นมา ทุกคนต่างเชื่อสนิทใจ และทำให้เรารู้ว่า “มิตรภาพอยู่เหนือความตาย” 
       
       หอพักสยองเรื่องที่สอง : ห้องสีชมพู (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่)
        
       ห้องสีชมพูตำนานอันลือลั่นของเด็กใหม่ปี 1 ทุกคน โดยเฉพาะ นักศึกษาหญิงที่จะต้องพักที่หอ 8 โดยรุ่นพี่ที่เคยอยู่หอนี่จะบอกและย้ำเสมอว่า เวลาจะเข้าห้องน้ำต้องเอาเพื่อนไปด้วยเสมอ ห้ามลืมเด็ดขาด!! นี่คือคำเตือนของรุ่นพี่ประจำหอ ที่เพื่อนได้ฟังตอนปีหนึ่ง
       
       แล้วรุ่นพี่อีกคนก็เล่าให้ฟังเกี่ยวกับประวัติของห้องสีชมพูนี้ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วปี 32 ของนักศึกษาหญิงคนหนึ่ง ซึ่งประเพณีหรือเรียกว่ากฏของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คือเด็กปีหนึ่งทุกคนต้องอยู่หอใน เพื่อที่เวลาพี่เรียกมาทำกิจกรรมรับน้องจะได้พร้อมกันอย่างรวดเร็ว ส่วนคนที่อยู่เชียงใหม่ส่วนมากจะกลับบ้านเย็นวันศุกร์กลับเข้าหอก่อนเย็นวันอาทิตย์
              
13 หอพักสยอง...เรื่องหลอนๆ ที่น้องปี 1 ต้องรู้!!!
       เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อรุ่นพี่ต่างคณะเกิดมาชอบ นักศึกษาหญิงน้องใหม่คนหนึ่ง ความสัมพันธ์ก็ได้ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว รุ่นพี่คนนี้เลยชวนนักศึกษาหญิงไปอยู่ด้วยกันที่หอหลัง มช. ทุกเย็นวันศุกร์หน้าหอ 8 จะมีรุ่นพี่คนนี้มาจอดรถรอ นักศึกษาหญิงคนนี้ และจะมาส่งตอนเย็นวันอาทิตย์ทุกครั้ง
         
       แล้ววันที่นักศึกษาสาวคนนี้เสียใจที่สุดและได้สร้างตำนานอันลือลั่นก็มาถึง เมื่อนักศึกษาสาวได้บอกกับรุ่นพี่อันเป็นที่รักว่าเธอตั้งครรภ์เป็นเวลา 3 เดือนแล้ว รุ่นพี่หนุ่มก็กล่าวปฏิเสธไม่ยอมรับผิดชอบหาว่า เธอนอกใจไปคบชายอื่น พอท้องแล้วจึงมาอ้างว่าตนเป็นคนทำ ก็เลยบอกเลิกเธอในทันที และปล่อยให้เธอเดินจากหลัง มช.กลับมาที่หอตามลำพัง
     
       ระหว่างทางนักศึกษาสาวคนนี้ก็คิดเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งความรู้สึกเสียใจปนความเคียดแค้นต่อชายหนุ่มที่ทิ้งเธอไป บวกกับกลัวทางบ้านจะรู้ความจริง และทำให้พ่อแม่ผิดหวัง ทำให้เธอตัดสินใจเอาเด็กออก แต่เธอไม่กล้าพอที่จะไปที่โรงพยาบาลหรือบอกให้ใครทราบ พอมาถึงห้องเมทไม่อยู่เพราะกลับบ้านกันหมด เธอเลยเอาเด็กออกด้วยตัวเอง โดยการเอาไม้บรรทัดเหล็กกระทุ้งจนมดลูกฉีกเธอทำไปโดยไม่รู้วิธีการที่ถูกต้อง ทำให้เธอเกิดอาการตกเลือดอย่างรุนแรง ก่อนที่เธอจะเสียชีวิตเธอได้เขียนข้อความไว้บนกำแพงห้องนั้นว่า 'กูมีมึงคนเดียว'
13 หอพักสยอง...เรื่องหลอนๆ ที่น้องปี 1 ต้องรู้!!!
       วันรุ่งขึ้นรูมเมทก็ได้กลับมาที่ห้องพักและได้พบกับศพของหญิงสาว พร้อมกับรอยเลือกกระจัดกระจายไปทั่วห้อง หลังจากจัดการเรื่องศพและงานศพเรียบร้อยแล้ว ก็ได้มีการทำความสะอาด ห้องนั้นโดยใช้ผ้าชุดน้ำเช็ดรอยเลือดให้สีจางลง แต่รุ่งขึ้นสิ่งที่ทำให้ทุกคนขนลุกก็คือ
              
              ...ทั้งรอยเลือดและข้อความที่หญิงสาวคนนั้นทิ้งไว้ไม่ได้หายไป แต่รอยเลือดกลับเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม ...
       
       ทางหอเลยตัดสินใจเอาสีใหม่มาทาทับไม่ให้เห็นรอยเลือด แต่แล้วพอวันรุ่งขึ้นรอยต่างๆ ก็กลับมาอยู่ดังเดิมเหมือนกับไม่ได้มีการนำสีมาทาแต่อย่างใด เลยได้เชิญพระที่วัดฝายหินมาทำพิธีแต่พระท่านบอกว่าทำพิธีไล่ไปคงไม่ได้เพราะวิญญาณนี้เฮี้ยนมาก ยังมีความอาฆาตและมีลูกในท้องอีกด้วย เลยได้แต่ทำการสะกดวิญญาณไม่ให้ไปหลอกคนในหอเพียงเท่านั้น
       
       หลังจากนั้นก็ได้ทาสีห้องใหม่คราวนี้ใช้ “สีชมพู” เพราะจะได้มองไม่เห็นคราบเลือดบนกำแพง จนกลายมาเป็นตำนานห้องสีชมพู และปัจจุบันได้กลายเป็นห้องเก็บของที่ปิดตาย เคยมีแม่บ้านเข้าไปทำความสะอาดที่ห้องนี้แล้วออกจากห้องไม่ได้ เพราะลูกบิดถูกล๊อค ทั้งที่ตัวล๊อคอยู่ในห้อง!!!
              
       
       หอพักสยองเรื่องที่สาม : SI วันมหิดล เตียง C (มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา)
       
       เรื่องนี้จัดเป็นอันดับต้นๆ ของความเฮี้ยนสุดยอดของมหาวิทยาลัยมหิดล อีกหนึ่งความเชื่อเกี่ยวกับวันสำคัญ ซึ่งกล่าวถึง นักศึกษาคณะแพทย์ศิริราช ที่เราจะขอเรียกสั้นๆว่า “SI” ที่จะกลับมาเยี่ยมเยียน หอพักในวันนี้ของทุกๆ ปี แต่งกายด้วยชุดนักศึกษา เสื้อนั้นย้อมด้วยเลือด และร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผล… 
       
       เรื่องเล่านี้เกิดจากในวิทยาเขตศาลายา มีนักศึกษาแพทย์คนหนึ่งได้ประสบอุบัติเหตุรถชนขณะข้ามถนนมายังมหาวิทยาลัย เสียชีวิตแต่นักศึกษาคนนั้นไม่รู้ตัวว่าตนเองได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนั้นแล้ว วิญญาณยังคงวนเวียนอยู่ในห้องพักของเขา นั่นก็คือ “เตียง C” ก็จะพบกับดวงวิญญาณความเฮี้ยนของนักศึกษาคนนี้ได้ในคืนวันมหิดล ที่มาในสภาพชุดนักศึกษาที่เปื้อนเลือด และร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล เท่านั้น 
       
       บางคำบอกเล่าก็บอกว่าเรื่องนี้ ไม่มีการยืนยันโดยตรง แต่มีเรื่องแบบนี้จริง ไม่ใช่เตียง C เป็นเรื่องที่เกิดกับห้องๆ หนึ่งในหอ ซึ่งติดเลขห้องหนึ่งตัวกลับหัว โดยมีนักศึกษาฆ่าตัวตายด้วยการแขวนคอในท่านั่ง จากห้องนี้มีการแตกออกมาเป็นเรื่องผีถึง 3 เรื่อง ด้วยกัน???
13 หอพักสยอง...เรื่องหลอนๆ ที่น้องปี 1 ต้องรู้!!!
       หอพักสยองเรื่องที่สี่ : หอชาย (มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา)
       
       หลายคนอาจไม่รู้ว่าในสมัยก่อนหอชายของมหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตศาลายา เคยเป็นหอหญิงมาก่อน ซึ่งหอชายในปัจจุบันนั้นมีสภาพค่อนข้างใหม่กว่าหอหญิง (ยกเว้นแต่หอ10) และมีเรื่องเล่ากันว่า นักศึกษาหญิงคนหนึ่งได้ฆ่าตัวตาย ภายในหอพัก วิญญาณก็ยังวนเวียนไม่ไปไหน คอยปรากฏตัวให้นักศึกษารุ่นหลังได้ประสาทกินเป็นพักๆ และในแต่ละปีจะมีนักศึกษาชายจำนวนมากที่โวยวายกับเจ้าหน้าที่หอพักเรื่องผู้หญิงชุดขาวที่เดินไปมาในบริเวณหอพัก ส่วนสถานที่หลักๆที่จะพบได้ก็คือ 
       
       1. บันไดหนีไฟ ใครที่ชอบเดิน ทางนี้บ่อยๆ ระวังให้ดี คุณไม่มีทางหนี นอกจากวิ่งชนหรือลงไปติดแหง็กอยู่ด้านล่าง
        
       2. ทางเชื่อมระหว่างหอ เมื่อมองจากระเบียง หรือด้านล่าง ของหอ นี่คือสามแพร่งที่ทุกคนต้องผ่านเข้าออกในแต่ละวัน 
       
       หอพักสยองเรื่องที่ห้า : คอนโด C ห้องxxxx (มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา)
       
        คอนโดบริเวณประตูสาม จะถูกจองตั้งแต่เดือนเมษา แต่จะมีอยู่ห้องหนึ่งในคอนโด C ซึ่งปิดขอบประตูโดยรอบด้วยยันต์ และประไว้ที่หน้าประตูอีกหนึ่งแผ่น ลองนึกภาพดูว่าบรรยากาศของห้องจะหม่นๆ เหมือนมีสายตาเฝ้ามองอยู่ตลอด ใครที่เคยอาศัยอยู่ย่อมรู้ถึงความกดดันได้เป็นอย่างดี ประวัติของห้องนี้ก็มีอยู่ว่า 
        
       ช่วงปิดเทอมเมื่อ 4-5 ปีก่อน มีนักศึกษาหญิงภาคอินเตอร์ปี 2 คนหนึ่ง น้อยใจแฟนก็เลยประชดรักด้วยการกรอกยาฆ่าตัวตาย กว่าเพื่อนจะไปพบศพก็ อืด เน่า เฟะ เละจน แทบจำไม่ได้ พองานศพเสร็จ เพื่อนๆ ทำใจไม่ได้ก็เลยขอย้ายไปพักที่อื่น คนที่ย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราว ตกกลางคืนก็มักจะได้ยินเสียงเปิดก็อกในห้องน้ำบ างครั้งก็ได้ยินเสียงกุกกักทั้งๆ ที่ไม่มีใคร แต่นั่นไม่ร้ายแรงเท่า... 
13 หอพักสยอง...เรื่องหลอนๆ ที่น้องปี 1 ต้องรู้!!!
       นักศึกษาบางคนที่กำลังนอนหลับช่วงกึ่งหลับกึ่งตื่น แล้วเหลือบไปเห็นผู้หญิงหน้าตาบวมปูดเหมือนศพ จับขาและกระชากลงจากเตียง เพื่อนที่เคยไปอาศัยอยู่ในห้องเจ้าปัญหา การันตีความเฮี้ยนระดับห้าดาว!!! รูมเมทบางคนมองเห็นผู้หญิงเดินไปเดินมาในเวลากลางคืน และมักได้ยินเสียงร้องไห้ ปนโกรธแค้นที่ถูกทอดทิ้ง หลายคนก็ถูกผีอำจนอยู่ไม่ได้ เครื่องใช้ไฟฟ้า-ข้าวของเปิดปิด เคลื่อนที่ได้เองอย่างน่าสงสัย เป็นอีกเรื่องที่ฮอทสุดๆ และเฮี้ยนสุดๆ ในรั้วศาลายาก็ว่าได้...
     
     
  หอพักสยองเรื่องที่หก : หอในหญิง (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน)
       
       เชื่อกันว่าหอในหญิง ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน เคยเป็นโรงพยาบาลสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มาก่อน ด้วยความเฮี้ยนของเหล่าวิญญาณที่ยังคงวนเวียนอยู่ในที่แห่งนี้ วันดีคืนดีคนในหอก็มักจะได้ยินเสียงคนเดินลากโซ่ตรวนไปมา หรือในห้องน้ำหญิงรวมบางคืนจะมีเสียงคนอาบน้ำ แต่พอเดินไปดูไม่มีคนเลยสักคน  
       
       หอในหญิงมีตึกใหญ่ 2 ตึก ที่ตึกนึงชั้น 2 เคยมีเด็กตายเนื่องจากเป็นไข้ทับฤดู ช่วงก่อนปิดเทอมซัมเมอร์ พอเปิดเทอมถึงมีคนมาพบศพ ความเฮี้ยนของเธอคนนี้ก็ยังคงวนเวียนอยู่ในหอพักแห่งนี้ เคยมีคนเห็นว่าหลังจากที่เธอเสียชีวิตไปแล้วแต่ก็ยังมานั่งซักผ้าที่ห้องน้ำหน้าห้องอยู่เลย
        
       
       หอพักสยองเรื่องที่เจ็ด : ผีหอ 5 (มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ปัตตานี)
       
       หอ 5 เป็นหอหญิงที่ถูกดัดแปลงมาจากโรงแรมเก่า ใครเข้าไปจะเห็นได้ว่าการออกแบบนั้นออกแบบมาเพื่อเป็นโรงแรมอย่างชัดเจน เป็นหอเดียวที่มีลิฟท์ และที่ลิฟท์นี้เองก็เป็นที่มาของตำนาน "ผีหอ 5" ที่ว่ากันว่าเฮี้ยนสุดๆ ของ มอ.ปัตตานี
       เรื่องมีอยู่ว่า ช่วงก่อนปิดเทอม มีนักศึกษาหญิงคนหนึ่งเข้าไปในลิฟท์ แล้วปรากาฏว่าลิฟท์ค้างร้องให้คนช่วยก็ไม่มีใครได้ยินจนเปิดเทอม... ภารโรงมาเปิดลิฟท์จึงพบศพญิงสาวนอนแห้งตาย มีรอยเลือดเปรอะเต็มที่ประตู มีเศษเล็บติดที่ประตู เหมือนพยายามจะเปิดประตูลิฟท์ว่ากันว่าใครอยู่ห้องใกล้ลิฟท์ก็มักจะได้ยินเสียงร้องโหยหวนหรือบางครั้งอาจเห็นคนเดินเข้าออก ทั้งๆ ที่ลิฟท์ไม่เปิดให้ใช้ ยังไม่พอ หากใครไม่สบายก็มักจะมีใครก็ไม่รู้เข้ามาเยี่ยม หรือมาเฝ้าไข้อีกด้วย 
       
       หอพักสยองเรื่องที่แปด : ช่างทาสีหอ 11 (มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ปัตตานี)
13 หอพักสยอง...เรื่องหลอนๆ ที่น้องปี 1 ต้องรู้!!!
       หอ 11 มีข่าวว่ามีช่างก่อสร้างกำลังทาสีอยู่แล้วตกลงมาตายที่ชั้น 7 แต่วิญญาณยังห่วงงานอยุ่ซึ่งดึกๆ เด็กหอนั้นจะเห็นแกห้อยตัวลงมาทาสีเป็นประจำ และเคยมีคนที่เคยอยู่ในหอนั้นเล่าให้ฟังว่า ในคืนหนึ่งที่เขาเกิดหิวน้ำขึ้นมาในกลางดึก และได้ลุกออกมาเพื่อจะไปกดน้ำกิน ขณะที่กำลังจะกดน้ำนั้น เขาก็ได้เห็นร่างเป็นเงาดำๆ เดินผ่านทะลุกำแพงไป...จึงกลายเป็นเรื่องเล่าที่มาสนับสนุนความเฮี้ยนของวิญญาณช่างทาสีคนนี้ เล่ากันสืบมาจากรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง จนกลายมาเป็นเรื่องหลอนๆ ในหอพักมหาวิทยาลัยอีกหนึ่งเรื่องของ มอ. 
       
       หอพักสยองเรื่องที่เก้า : หอ 50 ปี (มหาวิทยาลัยบูรพา)
       
       ที่หอ 50 ปี เทา-ทอง มีนักศึกษาแลกเปลี่ยนจากประเทศจีนกระโดดตึกลงมาเสียชีวิต เล่ากันว่าเธอกลุ้มใจหลายๆ เรื่อง ก่อนจะโดดก็กินตะปูเข้าไปด้วย หลังจากนั้นมีคนทรงมาเชิญวิญญาณเธอไป แต่เธอไม่ยอมไป ต่อมารุ่นน้องเด็กปี 1 ที่ต้องอยู่หอนี้ ตอนกลางคืนมักจะมีเรื่องหลอนๆ เช่น เห็นประตูเปิด-ปิดเอง หรือบางคืนก็มีเด็กผู้หญิงที่ตายยืนคุยโทรศัพท์อยู่หน้าห้อง หรือในบางวันเด็กผู้หญิงคนนี้ก็โดดขึ้นๆ ลงๆ ตึกอยู่อย่างนั้น…ทั้งคืน
        
       แต่ก็ยังมีอีกกระแสถึงข่าวหรือเรื่องเล่าของนักศึกษาสาวชาวจีนคนนี้ จากเพื่อนที่เคยใกล้ชิดว่า เรื่องหอ 50 ไม่มีอะไรน่ากลัวคะ ถ้าฟังเรื่องจริงออกจะน่าเศร้าซะมากกว่า ที่คนประเทศเดียวกันกลับทำกันได้ลงคอ สาเหตุมาจากเพื่อนคนจีนด้วยกันก็ไม่คบ แถมยังล้อเรื่องพ่อแม่ที่ป่วยของเขาอีก เครียดมากเลยตัดสินใจกระโดดตึก ก่อนหน้านี้ก็มีโกนหัว กรีดข้อมือเท่านั้น 
       
       หลังจากที่ตายก็มีเรื่องความเฮี้ยนของเธอจากเพื่อนรูมเมทชาวจีนด้วยกันว่า ได้ยินเสียงคนร้องไห้...แล้วก็ไม่มีใครอยากอยู่ห้องนั้นอีกเลย หลังจากที่เค้าโดดหอมาก็มีพระจีนมาเชิญวิญญาณออกแต่ไม่ออก จนครั้งที่สองมาเชิญจึงออก แต่ตามที่เค้าว่ากันไว้ฆ่าตัวตายเป็นบาปอันใหญ่หลวงวิญญาณของเธออาจวนเวียนอยู่ในที่นี้ต่อไปก็ได้... 
13 หอพักสยอง...เรื่องหลอนๆ ที่น้องปี 1 ต้องรู้!!!
       หอพักสยองเรื่องที่สิบ : หอพักหญิงตรงลานเกือกม้า (มหาวิทยาลัยบูรพา)
       
       หอพักหญิงชวนขนหัวลุกนี้ มีเพื่อนสนิทที่เจอผีเข้าจังๆ ที่ห้อง 516 เตียง 7 เป็นเตียงชั้นบน (เตียง 2 ชั้น) เวลาเกิดเหตุอยู่ในช่วงตะวันใกล้โพล้เพล้แล้ว เพื่อนนอนหลับ แต่ระหว่างที่สะลึมสะลือจะตื่น ก็เห็นผู้หญิงไต่เตียงขึ้นไปหา ผู้หญิงที่เห็นใส่ชุดดำ ไว้ผมยาว กระโดดมาทับตัวเพื่อน ดิ้นไม่ได้เลย ทั้งยังบีบคอ จนต้องท่อง นะโมหลายจบ แล้วเขาก็หายไปในที่สุด พอสะดุ้งตื่นมาจริงๆ ไม่เจอใครในห้อง แล้วเตียงนั้นก็ไม่มีใครยอมมานอนอีกเลย
       
       หอพักสยองเรื่องที่สิบเอ็ด : ผีในหอชาย (มหาวิทยาลัยบูรพา)
       
       มีเรื่องเล่ามาเสมอว่าครั้งแต่รุ่น 1 ถึงรุ่น 45 เล่าว่าหอชาย ของมหาวิทยาลัยบูรพา เมื่อสิบปีก่อนมีนิสิตชายผูกคอตายเหตุจากความล้มเหลวในการเรียน และความรัก หลังจากนั้นก็จะมีผู้พบเห็นเขาในห้องที่เขาผูกคอตายทุกคืน และอีกหอนิสิตชายประสบอุบัติเหตุ เวลา 4 ทุ่ม แต่ประมาณ 4 ทุ่มครึ่งมีคนพบเขา กำลังนั่งอ่านหนังสือสอบอยู่ และบางคนได้ยินเหมือนมีเสียงคนอาบน้ำอยู่
13 หอพักสยอง...เรื่องหลอนๆ ที่น้องปี 1 ต้องรู้!!!
       หอพักสยองเรื่องที่สิบสอง : หอเพชรรัตน์ (มหาวิทยาลัยศิลปากร พระราชวังสนามจันทร์)
       
       ที่หอเพชรรัตน์มีเรื่องที่เล่าขานกันมาว่าครั้งหนึ่งมี นักศึกษา นอนอยู่ในห้องพักคนเดียวได้ยินเสียงคนเดินมาช้าๆ จนเสียงนั้นเดินเข้ามาใกล้ๆ ห้องพัก นักศึกษา คนนั้นจึงมองลอดช่องตาข่ายมุ้งลวดออกไปดู ปรากฏว่าเห็นคนนุ่งโจงกระเบนสีแดงลากโซ่ตรวนเดินผ่านไป 
       
       หอพักสยองเรื่องที่สิบสาม : หอชายเก่า (มหาวิทยาลัยรังสิต)
       
       ที่หอชายเก่าในช่วงที่ใกล้จะสร้างหอเสร็จ มีการติดตั้งลิฟต์ และคืนนั้นมีคนงานกินเหล้ากันตามปกติ จนกระทั่งตี 1 มีคนงานคนหนึ่งตกลงไปที่ชั้นล่างใต้ลิฟต์แล้วปีนขึ้น มาไม่ได้ เพราะความเมา และคนงานคนนั้นก็เลยถูกลิฟต์ทับ ในเวลาต่อมาหลังจากที่หอเปิดได้ไม่นานก็มีนักศึกษาเข้าอยู่เต็ม และหอนี้ไม่เคยปิดเป็นเวลาจึงมีนักศึกษาเข้า-ออกเป็นประจำ จนตี 2 ของคืนหนึ่ง มีนักศึกษากลับมาจากข้างนอกแล้วเดินขึ้นลิฟต์ตามปกติ หลังจากกดชั้นที่พัก ลิฟต์ก็เคลื่อนที่ไปได้สักพักแล้วก็หยุด พร้อมๆ กับไฟดับและมีเสียงร้องดังออกมาข้างนอก จากนั้นลิฟต์ก็เปิดออกพร้อมฝุ่นตลบ มีเสียงใครคนหนึ่งตะโกนว่าอย่ายืนทับที่...หลังจากนั้นก็มีการทำบุญหอกันมาทุกๆ ปี 
       
       หลังจากที่ได้ฟังตำนาน เรื่องเล่าของหอพักจากมหาวิทยาลัยต่างๆ แล้ว อาจทำให้น้องๆ ขวัญผวากันได้ แต่น้องใหม่ก็อาจไม่รู้ทุกเรื่อง ใครที่อยู่ “หอใน” ก็ต้องทำใจว่ามีผีแน่นอน แต่ก็อย่าลืมว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็จะช่วยคุ้มครองเราอยู่ อย่าลืมสวดมนต์ไหว้พระ พร้อมกับไหว้เจ้าที่เจ้าทางก่อนเข้าไปอยู่ในหอนั้นๆ เพื่อความสบายใจ ใครไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะ จะบอกให้!!!

 ภาพและข้อมูลจาก http://www.manager.co.th/

10 มหา'ลัย...สุดเฮี้ยนในอเมริกา

เชื่อเถอะว่า...ตำนานมหาวิทยาลัยกับเรื่องผีๆ เป็นของคู่กันอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด แทบทุกมหาวิทยาลัยในโลกย่อมมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับภูตผีและวิญญาณแฝงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นที่หอพัก ห้องสมุด ห้องน้ำ หรือตึกเรียน ไม่ใช่เพียงมหาวิทยาลัยในประเทศไทยเท่านั้นที่มีเรื่องเล่าสุดสยองเหล่านี้ แม้แต่ในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา ที่แทบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นประเทศที่มีมหาวิทยาลัยผีสิงมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก เราลองไปเปลี่ยนบรรยากาศฟังเรื่องผีๆ ในต่างประเทศกันบ้างดีกว่า ว่าจะเขย่าขวัญสั่นประสาท สู้เรื่องผีในมหาวิทยาลัยไทยได้ไหม!!!
     
       1. มหาวิทยาลัยโอไฮโอ (Ohio University)
     
        จะทำอย่างไรถ้ามหาวิทยาลัยที่คุณกำลังศึกษาอยู่เคยเป็นโรงพยาบาลจิตเวชมากก่อน? ก่อนที่จะมาเป็นมหาวิทยาลัยโอไฮโอ (Ohio University) สถานที่แห่งนี้เคยเป็นโรงพยาบาลจิตเวช เริ่มสร้างในปี ค.ศ.1874 และปิดตัวลงเมื่อปี ค.ศ. 1993 ชื่อว่า “Athens Lunatic Asylum” ที่มาพร้อมกับตำนานสุดสยองที่เป็นที่กล่าวขวัญกันเรื่อยมา กับวิธีการรักษาคนไข้อันน่าสยดสยองของโรงพยาบาลแห่งนี้ ลองนึกภาพดูสิว่า ณ สถานที่แห่งนี้มีคนไข้ที่ป่วยตาย และคนป่วยจิตเวชที่ต้องกลายมาเป็นมนุษย์ทดลองด้วยวิธีการรักษาแบบแปลกๆ จะทรมานสักแค่ไหน?
10 มหา'ลัย...สุดเฮี้ยนในอเมริกา
Athens Lunatic Asylum
       โรงพยาบาลจิตเวชที่มาของความเฮี้ยน
     
        ตำนานความเฮี้ยนของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้เริ่มต้นมาจากเรื่องราวของคนไข้จิตเวชประจำโรงพยาบาลรายหนึ่งที่ชื่อว่า “มากาเร็ต ชิลลิ่ง” วัย 54 ปี ซึ่งหายตัวไปเมื่อวันที่ 1ธันวาคม ค.ศ. 1978 ตอนที่โรงพยาบาลแห่งนี้ยังเปิดทำการอยู่ เธอเป็นคนไข้ที่ได้รับอนุญาตให้เดินไปไหนมาไหนได้ภายในโรงพยาบาล เพราะเธอสามารถกลับมาที่ห้องเองได้ในตอนเย็น แต่แล้ววันหนึ่งมากาเร็ต ก็ได้หายตัวไป ค้นหาจนทั่วก็หาไม่พบ เป็นเวลานานถึง 6 สัปดาห์ คนงานจึงมาพบร่างของเธอที่ชั้นบนของวอร์ด N20 ซึ่งเคยใช้เป็นวอร์ดรักษาคนไข้ที่ป่วยและติดเชื้อ แต่ปิดไม่ได้ใช้งานมาหลายปีแล้ว พบเธอในสภาพที่นอนเปลือยกายเสียชีวิต โดยเจ้าหน้าที่กล่าวถึงสาเหตุที่เธอเสียชีวิตว่า หัวใจล้มเหลว เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นส่วนที่ไม่ใช้แล้วของโรงพยาบาลที่ไม่มีระบบทำความอบอุ่น อากาศหนาวมากประกอบกับเธอเป็นคนไข้จิตเวชและหูหนวกด้วยจึงไม่ร้องเรียกให้ใครช่วย และนึกว่าตัวเองกำลังเล่นเกมส์ซ่อนหาอยู่ก็เป็นได้
10 มหา'ลัย...สุดเฮี้ยนในอเมริกา
รอยด่างบนพื้น
       ความสยองที่ยังคงอยู่จากการตายของมากาเร็ตนั่นก็คือ รอยด่างบนพื้น ที่ร่างของเธอได้นอนเสียชีวิตอยู่นั้นยังคงปรากฎอยู่ จนกระทั่งปัจจุบันที่ได้กลายมาเป็นมหาวิทยาลัยโอไฮโอแล้ว และมีตำนานเล่าว่า “ใครที่ได้สัมผัสรอยด่างบนพื้นนั้นจะต้องมีอันเป็นไป” ไม่นานก็มีข่าวว่า มีนักศึกษาหญิงคนหนึ่งต้องการจะลองของ จึงได้ไปลูบรอยด่างบนพื้นต้องห้ามนั้น ไม่นานเธอก็ได้ผูกคอตาย และเป็นที่มาของรอยด่างอาถรรพ์ที่ใครๆ ต่างก็พูดถึงมาจนบัดนี้
     
       หอพักนักศึกษาที่ตึกเก่า Wilson Hall
     
        ยังไม่หมดเพียงเท่านั้นกับความเฮี้ยนของมหาวิทยาลัยโอไฮโอแห่งนี้ เพราะยังมีเรื่องเล่าหลอนๆ เกี่ยวกับหอพักนักศึกษาที่ชื่อว่า “Wilson Hall” โดยเรื่องสุดสยองนี้เกิดขึ้นที่ห้อง 428 มีนักศึกษาหญิงคนหนึ่งได้ฆ่าตัวตายจากการทำพิธีกรรมถอดจิตที่เป็นศาสตร์มืดแบบแม่มด และได้ใช้เลือดเขียนเป็นปริศนาทิ้งไว้บนกำแพงผนังห้อง หลังจากนั้นไม่นานความเฮี้ยนของห้อง 428 นี้ได้เริ่มขึ้น มีคนได้พบเจอถึงเรื่องแปลกเกี่ยวกับวิญญาณของหญิงสาวที่คอยมาหลอกหลอน จนมีผู้ร้องเรียนเป็นจำนวนมาก จนปัจจุบันห้องนี้ปิดตายถาวร และรอยเลือดปริศนาบนกำแพงนั้นถูกลอกออกไป แต่ก็ยังมีเหล่าบรรดานักศึกษาพยายามไปลองของกันที่ห้องนี้อยู่เสมอๆ และที่สำคัญ Wilson Hall แห่งนี้ยังได้รับการกล่าวถึงของรายการโทรทัศน์ต่างๆ ที่ไปถ่ายทำที่ตึกแห่งนี้ว่าเป็น “สถานที่ที่น่ากลัวที่สุดในโลก” อีกด้วย
     
      

       

     
       2. มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นอิลลินอยส์ (Eastern Illinois University)
     
        มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดของรัฐอิลลินอยส์ ที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าของวิญญาณอาฆาตต่างๆ ที่ยังคงวนเวียนอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ด้วยประวัติความเป็นมาอันยาวนานของมหาวิทยาลัย จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่จะมีเรื่องราวลึกลับต่างๆ ซ่อนอยู่ในทุกตารางนิ้วของมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นอิลลินนอยส์แห่งนี้
     
       ฆาตกรรมในหอพักหญิงเพ็มเบอร์ตัน ฮอลล์ (Pemberton Hall)
10 มหา'ลัย...สุดเฮี้ยนในอเมริกา
       อาคารเพ็มเบอร์ตัน ฮอลล์ ของมหาวิทยาลัยอีสเทิร์น อิลลินอยส์ ในประเทศสหรัฐอเมริกา เดิมเป็นหอพักหญิงแห่งแรก ของมลรัฐอิลลินอยส์ และยังเป็นที่มาของตำนานผีสิงในหอพักหญิงที่โด่งดังอีกด้วย กับคดีการฆาตกรรมที่ได้กลายมาเป็นเรื่องสยองขวัญสั่นประสาทที่ยังมีผู้พบเห็นหญิงสาวในตำนานสิงสู่อยู่ในอาคารเพ็มเบอร์ตันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
     
        เริ่มต้นตำนานอันลือเลื่องมาจากนักศึกษาสาวนามว่า “แมรี่ ฮอว์กินส์” (Mary Hawkins) ที่พักอาศัยอยู่ในหอหญิงแห่งนี้ ที่กลางดึกคืนหนึ่งเธอได้ขึ้นไปยังชั้น 4 เพื่อเล่นเปียโน เนื่องจากอาการนอนไม่หลับ และทันทีที่เสียงเปียโนของเธอนั้นดังแว่วไปถึงภารโรงหื่นกระหายผู้หนึ่ง ความคิดชั่วร้ายก็ผุดขึ้นในหัวของเขา สบโอกาสที่เฝ้ารอมานานแสนนาน จึงรีบรุดออกเดินไปยังต้นทางของเสียงดนตรีนั้น จนมาพบกับแมรี่ที่กำลังเล่นเปียโนอยู่อย่างไม่ทันระวังตัว ภารโรงใจชั่วจึงได้ล็อกคอเธอไว้จากทางด้านหลัง และทุบตีเธออย่างหนัก แมรี่ผู้น่าสงสารถูกข่มขืนอย่างไร้ความปราณี ก่อนที่คนร้ายจะหนีไปก็ได้ใช้ไม้ตีไปที่ร่างของเธออีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าตายสนิทแล้ว แต่แมรี่ยังไม่สิ้นใจจึงพยายามพาร่างอันบอบช้ำของเธอตะเกียกตะกาย พร้อมร้องขอความช่วยเหลือแต่ไม่มีใครได้ยิน จากชั้น 4 มาจนถึงชั้นล่างสุดซึ่งเป็นห้องของผู้ดูแลตึก เธอทั้งใช้เล็บตะกุยตะกายและส่งเสียงกรีดร้องเพื่อให้คนข้างในห้องได้ยิน และก่อนที่ผู้ดูแลจะเปิดประตูออกมา แม่รี่ผู้เคราะห์ร้ายก็ได้สิ้นใจไปต่อหน้าต่อตาเสียแล้ว ทิ้งไว้แต่เพียงรอยเลือดที่ยาวเป็นทาง ที่เธอคลานลงมาไว้ให้ดูอย่างน่าเวทนาที่สุด
10 มหา'ลัย...สุดเฮี้ยนในอเมริกา
       ภายหลังการตายของแมรี่ ภารโรงใจโหดก็ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งไว้แต่เพียงวิญญาณของแมรี่ที่เฝ้าคอยเรียกร้องขอความเป็นธรรมอยู่ที่เพ็มเบอร์ตัน ฮอลล์ แห่งนี้ มีนักศึกษาหลายคนยืนยันว่าแมรี่ยังอยู่และยังคงปรากฎตัวให้เห็นอยู่เสมอๆ บางคนเห็นหญิงสาวลอยผ่านเข้าไปในกำแพง ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินไปมารอบๆ อาคาร และที่น่าขนหัวลุกนั่นก็คือ บางคนเล่าว่า เธอได้ยินเสียงดังออกมาจากผนังข้างห้อง แต่พอเอาหูไปแนบเพื่อที่จะฟังว่านั่นคือเสียงอะไร ก็จะได้ยินเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือดังอยู่อีกด้านหนึ่ง หรือบางคนจะเห็นคราบรอยเลือดตามทางเดิน และมีรอยเท้ารอบๆ รอยเลือดนั้น สักพักรอยเลือดนี้ก็จะหายไป สร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้กับนักศึกษาสาวที่หอพักแห่งนี้เป็นอย่างมาก
     
        ปัจจุบันนี้อาคารเพ็มเบอร์ตัน ฮอลล์ยังเปิดใช้งานอยู่ พร้อมกับเปียโนตัวนั้นก็ยังคงอยู่ที่เดิม แต่บริเวณชั้น 4 ของอาคารถูกปิดตายและห้ามนักศึกษาขึ้นไปดูผี หรือไปดูเปียโน นั้นอีกต่อไป แต่เรื่องเล่าและวิญญาณของแมรี่ก็ยังคงถูกถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น และกลายเป็นตำนานความสยดสยองของมหาวิทยาลัยต่อไป
     
       3. มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียสเตต (Penn State University State College, PA)
     
       มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียสเตต หรือที่เรียกกันว่า เพนสเตต ถือเป็นมหาวิทยาลัยที่ให้ความรู้แก่เกษตรกรหนุ่มสาว และคนงานที่อาศัยอยู่ในภาคกลางของรัฐเพนซิลเวเนีย และได้กลายเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยชั้นนำของประเทศสหรัฐอเมริกาไปได้อย่างรวดเร็ว และไม่เพียงความก้าวหน้าและทันสมัยของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เรื่องผีหลอนๆ ก็ได้กลายเป็นเหมือนรากเหง้าของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียสเตตนี้เช่นกัน เพราะมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับวิญญาณมากมายที่จะทำให้คุณต้องตะลึง...
     
       “Ole Coaly” เฝ้ามหาวิทยาลัย
10 มหา'ลัย...สุดเฮี้ยนในอเมริกา
Ole Coaly
       หนึ่งในตำนานเรื่องเล่าผีๆ ที่คอยหลอกหลอนมหาวิทยาลัยแห่งนี้นั่นก็คือวิญญาณหลอนของ “ล่อ” ตัวหนึ่งที่ชื่อว่า “Ole Coaly” ที่อยู่คู่กับมหาวิทยาลัยแห่งนี้มาตั้งแต่ยุคบุกเบิก โดยเจ้า Ole Coaly ได้ช่วยในการแบกขนสิ่งก่อสร้างต่างๆ และถือเป็นมาสคอร์ดตัวแรกของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียสเตตอีกด้วย และเมื่อ Ole Coaly ได้เสียชีวิตลงกระดูกของมันได้ถูกเก็บและจัดแสดงโชว์ไว้ในพิพิธภัณฑ์ของมหาวิทยาลัย และเรื่องเล่าหลอนๆ ก็ได้เกิดขึ้นเมื่อเหล่านักศึกษาจะรู้สึกว่าทุกครั้งที่มีการเคลื่อนย้านโครงกระดูกของ Ole Coaly ไปไว้ที่อื่นมักจะมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นเสมอ นั่นก็คือ นักศึกษาบางคนจะได้ยินเสียง กุบ-กับ..กุบ-กับ..เหมือนฝีเท้าของม้าบริเวณรอบๆ ห้องโถง หรือหลายคนมักจะได้ยินเสียงร้องของล่อดังออกมาจากในห้องต่างๆ 
     
       ใครฆ่า Betsy Aardsma?
     
       อีกหนึ่งคดีฆาตกรรมที่เป็นที่กล่าวขวัญกันมากที่สุดของมหาวิทยาลัยเพนสเตต คือเรื่องราวของนักศึกษาสาววัย 22 ปี ชาวอเมริกันที่ถูกคนร้ายฆ่าตายอย่างปริศนา ที่ชั้นหนังสือภายในห้องสมุด “Pattee Library" และจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่สามารถจับตัวคนร้ายมาลงโทษได้ ซึ่งเรื่องราวการฆาตกรรมโหดครั้งนี้เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1969 เดิมทีนั้นBetsy Aardsma ได้เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน และได้เกิดข่าวการฆาตกรรมต่อเนื่องขึ้น โดยจะฆ่าเฉพาะหญิงสาวเท่านั้น แม่ของเบทซี่กลัวว่าลูกสาวจะได้รับอันตรายจึงได้ย้ายเธอมาเรียนที่มหาวิทยาลัยเพนสเตตแทน และเพียงสองเดือนเท่านั้นที่เบทซี่ย้ายไป เรื่องราวสะเทือนขวัญก็ได้เริ่มขึ้น เมื่อวันหนึ่งเธอไปห้องสมุดของมหาวิทยาลัยเพื่อค้นคว้าข้อมูลในการทำรายงานตามปกติ แต่แล้วก็มีคนร้ายถือมีดเข้ามาแทงเธอที่หน้าอก จนเธอล้มลง กองหนังสือก็ได้หล่นมาทับร่างของเธอ พร้อมกันนั้นคนร้ายก็รีบดึงมีดที่ปักอยู่กลางหัวใจเธอออกมาแล้วก็หลบหนีไปอย่างไร้ร่องรอย 
10 มหา'ลัย...สุดเฮี้ยนในอเมริกา
Betsy Aardsma
       เพื่อนที่อยู่บริเวณนั้นเมื่อเห็นเบทซี่ล้มลง ก็พากันวิ่งมาดู แต่คิดว่าเธอแค่เป็นลมล้มไป เพราะชุดสีแดงที่เธอสวมใส่ไปวันนั้นทำให้ไม่มีใครสังเกตเห็นรอยเลือดที่บริเวณหน้าอกของเธอ เพื่อนๆ จึงช่วยกันเอากองหนังสือที่ทับร่างของเธอออกหลังจากนั้นเพียง 5 นาที เบทซี่ก็ได้ขาดใจตาย ณ ห้องสมุดแห่งนั้น ทุกคนต่างเชื่อว่าการตายของเบทซี่เป็นฝีมือของฆาตกรต่อเนื่องที่มหาวิทยาลัยมิชิแกนอย่างแน่นอน หลังจากนั้น 1 ปี ตำรวจก็สามารถจับตัวฆาตกรต่อเนื่องคนนี้ได้ แต่เขาให้การสารภาพว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องจริง แต่ไม่เคยไปที่มหาวิทยาลัยเพนสเตตเลยแม้แต่ครั้งเดียว??? ทุกวันนี้ยังไม่มีใครหาฆาตกรตัวจริงที่ลงมือทำร้ายเบทซี่ไม่ได้ แต่เรื่องราวความหลอนกลับเริ่มต้นขึ้น ดวงวิญญาณที่ต้องการเรียกร้องความเป็นธรรมยังคงวนเวียนอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้
     
       โดยในปี ค.ศ. 1995 มีเรื่องเล่าของพนักงานห้องสมุดคนหนึ่ง เธอเล่าว่าตอนที่เธอกำลังทำงานอยู่ในบริเวณที่เบทซี่เสียชีวิตนั้น เธอรู้สึกเหมือนมีบางอย่างมาสัมผัสที่ไหล่ของเธอแต่พอหันไปดูก็ไม่มีใคร พอกลับมาถึงบ้านก็รู้สึกเหมือนว่ามีคนตามมา ในตอนกลางคืนขณะที่เธอกำลังนอนหลับอยู่นั้น ก็รู้สึกเหมือนมีเหมือนมีคนมาบีบคอ กรีดร้องสุดแรงแต่ไม่มีเสียงดิ้นทุรนทุรายอยู่อย่างนั้นจนในที่สุดก็หลุดมาได้ (คล้ายกับอาการผีอำในบ้านเรา) หลังจากนั้นเธอก็ไม่กลับไปทำงานที่ห้องสมุดแห่งนั้นอีกเลย
     
       4. มหาวิทยาลัยฟอร์ดแฮม (Fordham University)
     
       มหาวิทยาลัยฟอร์ดแฮม เป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ที่ก่อตั้งมานานกว่าครึ่งศตวรรษ ตั้งแต่ปี ค.ศ 1841 ซึ่งนั่นก็เป็นเวลาที่ยาวนานพอที่จะมีเหล่าบรรดาวิญญาณที่ยังคงวนเวียนและสิงสถิตอยู่ ณ มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ด้วยความเป็นมาที่ยาวนานรวมถึงการก่อสร้างที่ถูกออกแบบมาให้มีลักษณะเหมือนปราสาทที่รายล้อมไปด้วยตึกเก่ามากมาย จึงไม่น่าแปลกใจที่เหล่าบรรดาหนังสยองขวัญของฮอลลิวู้ดหลายเรื่องมักจะมาใช้สถานที่แห่งนี้เป็นที่ถ่ายทำ
     
       บ้านผีสิง Keating Hall
10 มหา'ลัย...สุดเฮี้ยนในอเมริกา
ภาพประกอบไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่อง
       ตำนานความหลอนของ Keating Hall แห่งนี้เป็นที่เลื่องลือ มักจะมีคนพูดว่าที่นี่เป็นเหมือนบ้านและที่อยู่อาศัยของเหล่าบรรดาผีต่างๆ ทั้งผู้ชายและผู้หญิง หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเวลาที่เข้าไปที่ตึกนี้จะรู้สึกเหมือนว่ากำลังถูกจ้องมองจากที่ไหนสักแห่งตลอดเวลา และจะสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่าง บางคนก็มักจะได้ยินเสียงแปลกๆ แต่ก็หาต้นตอของเสียงนั้นไม่เจอ นักศึกษาบางคนเล่าว่าที่ชั้น 3 ของ Keating Hall เขารู้สึกเหมือนมีมือที่เย็นยะเยือกมาจับที่ไหล่ของเขา แต่เมื่อหันไปก็ไม่เจอใคร หรือขณะที่นักศึกษากำลังนั่งเรียนกันอยู่ที่ตึกนี้ ก็ได้ยินเสียงดังมาจากอีกห้องหนึ่ง พอทุกคนวิ่งไปดูก็ไม่พบใคร มีเพียงเก้าอี้ที่ล้มระเนระนาดอยู่เท่านั้น 
     
       หรือผีผู้หญิงผมบลอนซ์ที่มักจะปรากฎกายในห้องน้ำ หลายคนที่พบเห็นจะบอกลักษณะที่ตรงกันว่า เธอจะนิ่งเฉยไม่มีปฏิกริยากับใคร เคลื่อนไหวโดยไม่มีเท้า ในลักษณะลอยไปข้างหน้าในที่สุดเธอก็หายไปในอากาศ สร้างความหลอนให้กับผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างมาก หรือผีผู้ชาย ที่คนส่วนใหญ่มักจะพบเจอในห้องโถงเดินไปเดินมา แต่พอมีคนจะเข้าไปดูว่าใครเดินอยู่ในห้องนั้นผีก็จะหายตัวไปทันที
     
       ห้องเก็บศพชั้นใต้ดิน
10 มหา'ลัย...สุดเฮี้ยนในอเมริกา
ภาพประกอบไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่อง
       มีคนกล่าวว่าชั้นใต้ดินของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เคยเป็นที่เก็บศพของโรงพยาบาลมาก่อน และแน่นอนที่นี่คือจุดศูนย์รวมของเหล่าบรรดาผีและวิญญาณ และตอนนี้ห้องนั้นได้กลายเป็นห้องสมุดเล็กๆ น่ารักๆ มีชั้นหนังสือ และที่นั่งอ่านหนังสืออย่างสะดวกสบาย แต่แล้วก็มีเรื่องเล่าเขย่าขวัญจากห้องสมุดเล็กๆ น่ารักๆ แห่งนี้ ในปี ค.ศ.1970 จากเจ้าหน้าที่ รปภ. คนหนึ่ง ในตอนดึกขณะที่เขากำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ รู้สึกเจ็บที่เท้าจึงนั่งลงบนเก้าอี้และถอดรองเท้าออก จากนั้นก็ได้ยินเสียงประตูปิดดังปัง!!! และแล้วเก้าอี้อีกตัวก็เริ่มขยับไปกระแทกกับฝาผนัง เขาทั้งวิ่งทั้งกระโดดออกจากที่นั้นอย่างเร็ว โดยไม่ใส่แม้แต่รองเท้าออกมา และก็ไม่เคยกลับมายังมหาวิทยาลัยแห่งนี้อีกเลย
     
       5. วิทยาลัยแบรดฟอร์ด เฮเวนฮิล (Bradford College Haverhill, MA)
     
       แต่เดิมวิทยาลัยแบรดฟอร์ดเคยเป็นสถาบันการศึกษาสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ อบรมพวกมิชชันนารีที่เรียกว่าBradford Academy (1803) และได้เริ่มพัฒนาเปลี่ยนแปลงมาเป็น Bradford College Haverhill ในปี ค.ศ. 1971 เป็นวิทยาลัยศิลปศาสตร์ที่เปิดให้ศึกษาได้ทั้งเพศชายและเพศหญิง ด้วยความเป็นสถาบันอันเก่าแก่และใกล้ชิดกับศาสนามาก แต่แบรดฟอร์ดกลับมีตำนานเรื่องเล่าสะเทือนขวัญที่หลายคนคงคาดไม่ถึง...
     
      

       

     
       เด็กสาวคนหนึ่งที่ได้แอบไปมีความสัมพันธ์ลับๆ กับบาทหลวงที่โรงเรียนแห่งนี้ และเมื่อเธอตั้งครรภ์ก็เกิดมีปากเสียงกัน บาทหลวงบ่ายเบี่ยงไม่ยอมรับ เด็กสาวไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร เธอจึงตัดสินใจฆ่าตัวตายพร้อมกับทารกในครรภ์ บางกระแสบอกว่าเด็กสาวไม่ได้ฆ่าตัวตาย แต่โดนบาทหลวงฆ่าตายเพราะกลัวความผิด เชื่อว่าดวงวิญญาณทั้งสองดวงเด็กหญิงผู้เคราะห์ร้าย และบาทหลวงผู้หลงผิดยังคงสิงสถิตอยู่ที่นี่ ความเฮี้ยนของเหล่าดวงวิญญาณเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว เพราะมีรายการโทรทัศน์ที่สามารถบันทึกเสียงกรีดร้อง และภาพที่บันทึกได้ภายในวิทยาลัย แต่ความหลอนเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเล่าในตำนาน เพราะได้มีเหตุการณ์ในปัจจุบันที่เกิดขึ้นคล้ายคลึงกันอย่างบอกไม่ถูก...
10 มหา'ลัย...สุดเฮี้ยนในอเมริกา
ภาพประกอบไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่อง
       โดยเรื่องเล่านี้มาจากนักศึกษาคนหนึ่งว่า มีนักศึกษาแอบไปมีความสัมพันธ์กับอาจารย์สอนการแสดง หรือบางทีเธออาจโดนข่มขืนจากอาจารย์คนนี้ก็เป็นได้ และเมื่อเธอตั้งท้องก็ได้ไปบอกกับเขาว่าเธอจะไปฟ้องอธิการบดีหากเขาไม่รับผิดชอบ ด้วยต้องการจะปกปิดความผิดของตัวเอง อาจารย์ใจโหดจึงได้ลงมือฆ่าเธอในขณะที่ยังตั้งครรภ์อยู่ เหมือนกับเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ดวงวิญญาณของเด็กสาวทั้งสองคนที่ต้องทนทุกข์ทรมานพร้อมลูกน้อยในครรภ์ยังคงวนเวียนอยู่ และปรากฎตัวให้คนอื่นๆ ได้เห็นอยู่บ่อยครั้ง...ที่โรงละคร Denworth Hall มักจะพบหญิงสาวซ้อมการแสดงอยู่ บางครั้งก็ร้องเพลง “Hush, Little Baby” 
     
        เมื่อเวลาเปลี่ยนไปเสียงร่ำลือเกี่ยวกับวิญญาณของหญิงสาวเริ่มปรากฎตัวชัดเจนขึ้น จากช่วงแรกเป็นเพียงเงาดำๆ และพัฒนาขึ้นมาเป็นหญิงสาวในชุดแฟลบเปอร์ (แฟชั่นฮิตในช่วงสงครามโลก) ลอยไปมาที่บันไดในมือถือตุ๊กตาร้องเพลงไปอย่างเศร้าสร้อย นักศึกษาหลายคนที่ได้พบกับภาพสุดหลอนนี้ต่างก็พากันวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง วันรุ่งขึ้นข่าวเรื่องผีของหญิงสาวก็แพร่สะพัดไปทั่ววิทยาลัย และไม่แปลกใจที่ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ได้ปิดตัวลง เพราะไม่มีนักศึกษาคนใดกล้าเข้ามาเรียนต่อที่วิทยาลัยแห่งนี้!!!
     
       6. มหาวิทยาลัยนอเตอร์เดม (University of Notre Dame)
10 มหา'ลัย...สุดเฮี้ยนในอเมริกา
University of Notre Dame
       หนึ่งในมหาวิทยาลัยที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน โดดเด่นมากในด้านกีฬาอเมริกันฟุตบอลที่เป็นที่รู้จักกันดีในนามของ "Fighting Irish" จนฮอลลีวูดนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อดังเมื่อปี ค.ศ.1993 เรื่อง "Rudy" ซึ่งถ่ายทำในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตจริงของ Daniel Rudy Ruettiger ที่เอาชนะอุปสรรคมากมายในการเล่นฟุตบอลที่มหาวิทยาลัยนอเตอร์เดม และไม่เพียงชื่อเสียงด้านกีฬา แต่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ยังมีชื่อเสียงเรื่องตำนานความหลอนประจำมหาวิทยาลัยกับวลีที่ว่า "Win one for the Gipper" นักกีฬาชื่อดังในตำนานที่วิญญาณยังคงอยู่ที่มหาวิทยาลัย
10 มหา'ลัย...สุดเฮี้ยนในอเมริกา
George Gipp
       เรื่องราวหลอนๆ ของ “George Gipp” นักกีฬาฟุตบอลประจำทีมของมหาวิทยาลัย เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1920 ในคืนที่เขาไม่สามารถเข้าหอพักได้เนื่องจากกลับช้าประตูหอปิด เขาจึงได้ไปนอนที่หน้าบันไดตึกวอชิงตันฮอล์ ในคืนที่อากาศหนาวเย็นจนเป็นที่มาของโรคปอดบวมและติดเชื้อในลำคอ ได้เสียชีวิตลงที่เตียงนอนที่หอพักของเขาในวันที่ 14 ธันวาคม 1920 และด้วยความรักมหาวิทยาลัยและทีมรักของเขาวิญญาณของจอร์จจึงวนเวียนอยู่ ณ ที่แห่งนี้ และสร้างสัมผัสให้กับเพื่อนๆ และรุ่นน้องได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของเขาเรื่อยมา บางคนถึงกับเล่าว่า รู้สึกเหมือนมีใครมาตบที่ไหล่ของพวกเขาเบาๆ แต่พอหันไปกลับไม่พบใครเลย และจอร์จมักจะชอบแกล้งนักเรียนการแสดงที่ชอบทำงานอยู่หลังเวทีตอนดึกๆ ปรากฎตัวแว่บไปแว่บมา และลอยหายไปในอากาศในที่สุด และเคยมีนักศึกษาโดนผลักตกบันได้โดยมือที่มองไม่เห็น เพราะไม่มีใครอยู่ตรงนั้น แต่นักศึกษายืนยันว่าเขาโดนผลักลงมาจริงๆ แม้จะระบุไม่ได้ว่าการกระทำเหล่านี้เกิดจากดวงวิญญาณของจอร์จหรือไม่ แต่ก็มีนักศึกษาส่วนหนึ่งที่ยืนยันได้ว่าเคยเห็นเขาวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวนักศึกษาบางคน และตบไหล่เป็นการให้กำลังใจเบาๆ
     
       7. วิทยาลัยสวีทเบีย (Sweet Briar College)
10 มหา'ลัย...สุดเฮี้ยนในอเมริกา
Sweet Briar College
       แม้ว่าวิทยาลัยแห่งนี้จะเต็มไปด้วยกุหลาบงาม เพราะมีเพียงหญิงสาวเท่านั้นที่จะสามารถเข้ามาศึกษา ณ วิทยาลัยแห่งนี้ได้ แต่ความงามของหญิงสาวก็นำมาซึ่งความสยองไม่แพ้กัน ต้องเรียกว่าวิทยาลัยสวยสยองอาจจะเหมาะกว่า กับเรื่องราวของผีสาวนามว่า 'Daisy Williams' ที่คอยหลอกหลอนผู้คน นักศึกษาหลายคนโดนหลอกจนต้องย้ายออกจากวิทยาลัยไปก็มี ผีสาวเดซี่เธอเป็นลูกสาวของผู้ก่อตั้งวิทยาลัยแห่งนี้ และได้เสียชีวิตลงในช่วงวัยรุ่นอายุได้เพียง 16 ปีเท่านั้น และนี่คือที่มาของตำนานความสยองอันลือเลื่อง
     
       รถที่ถูกขโมย ผ้าเช็ดตัวที่หายไป ลมหายใจของผีสาว
     
       นักศึกษารายหนึ่งเล่าว่า เพื่อนสาวของเขาต้องการที่จะไปลองของด้วยความคึกคะนองของวัยรุ่น ไปล้อเลียนที่รูปปั้นของเดซี่ที่ตั้งอยู่ในบริเวณวิทยาลัยอย่างสนุกสนานเฮฮา กลายเป็นเรื่องตลกกันไป แต่แล้วสักครู่หนึ่งรถของเธอที่จอดอยู่ในเนินจอดรถ อยู่ๆ เบรคก็ไม่ทำงานทำให้รถพุ่งลงมาจากเนิน เด็กทั้งสี่คนยืนตะลึงทำอะไรไม่ถูก พยายามช่วยกันวิ่งตามรถเพื่อที่จะหยุดมัน เปิดประตูและกระโดดขึ้นไปบนรถในขณะที่รถก็ยังคงเคลื่อนที่เองอย่างไม่รู้สาเหตุ โชคดีที่ไม่มีใครเป็นอะไร แต่วันรุ่งขึ้นเรื่องเล่าถึงความเฮี้ยนของผีสาวเดซี่ก็ได้แพร่กระจายไปทั่ววิทยาลัย
10 มหา'ลัย...สุดเฮี้ยนในอเมริกา
Daisy Williams
       อีกหนึ่งเรื่องเป็นเรื่องเล่าของนักศึกษาสาวที่อาศัยอยู่ในหอพักในวิทยาลัย กำลังจะเอาตระกร้าผ้าไปซัก ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกแปลกๆ จึงมองไปทางด้านขวาที่พุ่มไม้ก็พบว่าผ้าเช็ดตัวของเธอไปห้อยอยู่บนต้นไม้ได้อย่างไร? เพราะเธอเพิ่งจะซักผ้าเช็ดตัวผืนนี้ไปเอง อีกใจหนึ่งก็ไม่แน่ใจว่าผ้าเช็ดตัวที่ห้อยอยู่บนต้นไม้นั้นเป็นของเธอหรือไม่ จึงได้รีบกลับไปที่ห้องเพื่อค้นหาผ้าเช็ดตัว ปรากฎว่าผ้าเช็ดตัวของเธอได้หายไปแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าผ้าผืนนั้นต้องเป็นของเธอ เพื่อนๆ รูมเมทต่างก็พากันสันนิษฐานว่าต้องเป็นฝีมือของเดซี่อย่างแน่นอน เพราะความสูงระดับนั้นเด็กสาวอย่างพวกเธอคงทำได้ยากที่จะเอาผ้าเช็ดตัวไปแขวนบนต้นไม้
     
        ระดับดีกรีความน่ากลัวของเดซี่เริ่มเพิ่มขึ้น เมื่อมีนักศึกษาคนหนึ่งเล่าว่าในคืนหนึ่งในขณะที่เธอและรูมเมทกำลังนอนหลับอยู่นั้น เธอต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงลมหายใจที่ดังมาก เธอจึงมองไปที่เพื่อนร่วมห้องเพราะคิดว่าเป็นเสียงลมหายใจของเพื่อนอย่างแน่นอน แต่ผิดคาดเพราะเพื่อนของเธอยังคงนั่งอยู่ที่เตียงไม่ได้หลับหรือกรนเสียงดังแต่อย่างใด และเมื่อเธอทั้งคู่นอนเสียงนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง นักศึกษาสาวยังคงไม่หลับและได้ยินมันอย่างชัดเจน ได้ยินเหมือนเสียงลมหายใจของมนุษย์ที่แรงมาก แต่ทิศทางของเสียงมาจากด้านบนเพดานหายใจลงมาที่พวกเธอ สักครู่นักศึกษาสาวก็ได้ยินเสียงเพื่อนร่วมห้องตะโกนถามขึ้นมาว่า “นั่นเสียงเธอใช่มั๊ย?” นักศึกษาสาวตอบเพื่อนไปว่า“ไม่ใช่” แล้วเสียงหายใจนั้นก็หายไป ทั้งคู่ไม่พูดอะไรกันจนถึงเช้า...
     
       8. มหาวิทยาลัยจอร์เจีย (University of Georgia)
     
       มหาวิทยาลัยจอร์เจียเป็นมหาวิทยาลัยที่มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน เต็มไปด้วยเรื่องเล่าของเหล่าวิญญาณมากมายที่ยังคงวนเวียนอยู่ เรื่องราวลึกลับต่างๆ ถูกซ่อนไว้ภายใต้ตึกเก่าแก่โบราณรอบๆ มหาวิทยาลัย นำมาซึ่งความหลอนที่ใครๆ ก็ไม่อาจปฏิเสธได้หากเหล่าวิญญาณเหล่านั้นเกิดถูกชะตาและต้องการให้คุณเห็น
     
       ผีเจ้าสาวรอรัก
10 มหา'ลัย...สุดเฮี้ยนในอเมริกา
ภาพประกอบไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่อง
       ในบริเวณมหาวิทยาลัยจะมีบ้านหลังหนึ่งที่ชื่อว่า “Alpha Gamma Delta” เป็นบ้านที่เก่าแก่ที่สุดในมหาวิทยาลัย ถูกซื้อมาเพื่อเป็นเรือนหอของ “Miss Susie Carithers” แต่แล้วในวันแต่งงานของเธอกลับเกิดเหตุการณ์อันไม่คาดฝันเกิดขึ้น ซูซี่คิดว่าเจ้าบ่าวของเธอหลบหนีงานแต่งงานไม่มาตามที่นัดหมายไว้ เธอจึงผู้คอตายใต้ห้องหลังคา ภายในไม่กี่ชั่วโมงต่อมาเจ้าบ่าวก็มาปรากฎตัวที่บ้านของเธอ แต่มันก็สายไปเสียแล้วซูซี่ไม่ทันได้อยู่ฟังความจริงว่าเขาไม่ได้หนีงานแต่งงาน แค่เพียงเลื่อนเวลาออกไปเท่านั้น จนถึงวันนี้ยังมีคนพูดว่าได้เห็นซูซี่จ้องมองลงมาจากห้องใต้หลังคาห้องนั้นอยู่เสมอๆ เพื่อรอคอยคนรักของเธอ...
     
       ลูกสาวที่ยังไม่อยากจากไป
10 มหา'ลัย...สุดเฮี้ยนในอเมริกา
ภาพประกอบไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่อง
       เรื่องราวนี้เกิดขึ้นที่ “Sigma Phi Epsilon” เบื้องหลังความเป็นมาที่น่าสะพรึงกลัวซ่อนอยู่ในตึกแห่งนี้ เมื่อนานมาแล้วเจ้าของบ้านหลังนี้หลังจากที่กลับมาจากทำงานก็พบว่าลูกสาวของเขาจมน้ำตายอยู่ในอ่างอาบน้ำ หลังจากนั้นเขาก็ฆ่าตัวตายตาม โศกนาฎกรรมครั้งนี้สร้างความสะเทือนใจให้กับผู้คนจำนวนมาก รวมถึงเรื่องหลอนๆ ภายในบ้านหลังนี้ก็เป็นที่กล่าวถึงอีกเช่นกัน ล่าสุดนักศึกษารายหนึ่ง นั่งอยู่ในห้องแล้วได้ยินเสียงดังมาจากห้องใต้หลังคา เขาคิดว่าคงเป็นเสียงจากเพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆ จากนั้นเขากลับได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงร้องไห้โหยหวนด้วยความทุกข์ทรมาน เขาจึงตะโกนไปที่ห้องใต้หลังคาว่าใครอยู่ที่นั่น ก็ไม่มีเสียงตอบใดๆ กลับมา เขาจึงค่อยๆ เดินขึ้นไปดู และพบว่าที่ห้องนั้นไม่มีใครอยู่เลย แล้วเสียงเด็กผู้หญิงที่ร้องไห้นั่นหละมาจากไหน???
     
       9. วิทยาลัยแคนยอน (Kenyon College)
     
        วิทยาลัยที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่สวยที่สุดในโลกจากการจัดอันดับของนิตยสารชื่อดังอย่าง Forbesในปี 2010 ที่ผ่านมา ที่ไม่เพียงสวยงามด้วยสถาปัตยกรรมในยุคโกธิคเท่านั้น แต่วิทยาลัยแห่งนี้ยังแฝงไปด้วยความลี้ลับอีกมากมายที่เชื่อว่าหลายคนคงไม่เคยรู้มาก่อนเป็นแน่ 
     
       ตึกแคนยอนเก่า
     
       วิทยาลัยแห่งนี้รู้จักกันดีในด้านของวิทยาลัยชื่อดังด้านศิลปศาสตร์ และอีกด้านที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักกันดีไม่แพ้กันนั่นก็คือเรื่องของคนตาย...และหนึ่งเรื่องหลอนที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดของวิทยาลัยแห่งนี้เกิดขึ้นที่หอพักแคนยอนเก่า ที่ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1827 และมาถูกไฟไหม้ครั้งยิ่งใหญ่ที่สร้างความสูญเสียไว้อย่างมากมาย โดยมีนักศึกษาชายเสียชีวิตในเหตุการณ์ไฟไหม้หอพักเมื่อปี ค.ศ.1949 จำนวน 9 คน และแน่นอนว่าวิญญาณของพวกเขายังไม่ไปไหน มีนักศึกษาหลายคนพูดว่าพวกเขามักจะเจอดวงวิญญาณห้องโถงชั้น 1 นักศึกษามักจะพูดกันว่าเขาเห็นผีโผล่มาจากเพดาน ไฟเปิดและปิดเองอยู่บ่อยๆ และฉากในห้องน้ำอันสุดสยองเมื่อนักศึกษาหญิงที่กำลังทำธุระส่วนตัวอยู่ในห้องน้ำ อยู่ๆ ประตูห้องน้ำก็ถูกเขย่าและมีเสียงของผู้ชายดังขึ้นว่า “หนีเร็วๆ ไฟไหม้” หลังจากนั้นเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวของนักศึกษาก็ดังขึ้น...โดยไม่มีคำอธิบายใดๆ
10 มหา'ลัย...สุดเฮี้ยนในอเมริกา
ภาพประกอบไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่อง
       สระว่ายน้ำและสตูดิโอเต้นรำ
     
        และที่อาคารสระว่ายน้ำเก่า อดีตนักกระโดดน้ำได้เกิดอุบัติเหตุกระจกในอาคารแตกและหล่นลงมา บาดคอของเขาและตกลงไปน้ำสระว่ายน้ำเสียชีวิตทันที แน่นอนว่าวิญญาณของเขายังคงเฝ้าอยู่ที่สระว่ายน้ำแห่งนี้ เพราะมีนักศึกษาหลายคนได้ยินเสียงหวีดร้องขอความช่วยเหลือดังมาจากสระว่ายน้ำ แต่พอวิ่งมาดูก็กลับไม่พบอะไรเลยมีเพียงสระว่ายน้ำที่สงบนิ่ง ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ...หรือที่สตูดิโอเต้นรำ พวกเขามักได้ยินเสียงเพลงดังออกมาโดยไม่มีใครอยู่ที่นั่น และได้ยินเสียงอาบน้ำดังมาจากห้องน้ำของสตูดิโอ พบรอยเท้าเปียกน้ำเดินย่ำไปมา แต่พบว่าไม่มีใครอยู่ วันดีคืนดีนักศึกษาบางคนก็จะได้พบกับเจ้าของรอยเท้าปริศนานั่นก็คือ เขาจะเห็นใบหน้าสีขาวซีด กำลังหวีผมอยู่ และหันหน้าออกมาจากหน้าต่างของอาคารนี้นั่นเอง
     
       10. วิทยาลัยเซนต์ชาร์ลส์ (St. Charles Community College)
     
        วิทยาลัยเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในรัฐมิสซูรี สหรัอเมริกา แม้จะไม่มีใครทราบประวัติและที่มาของตึกเก่าต่างๆ ที่สร้างขึ้นมาเป็นวิทยาลัยแห่งนี้ แต่ทั้งเหล่าบรรดานักศึกษาและอาจารย์ในวิทยาลัยกลับรู้จักกันดีเกี่ยวกับวิญญาณของเด็กผู้ชายที่คอยหลอกหลอนและแกล้งผู้คนที่อยู่ในตัวตึก หรืออาคารต่างๆ ไม่ใช่เฉพาะเด็กนักเรียนนักศึกษา ทั้งแม่บ้าน และรปภ. ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันถึงความเฮี้ยนของผีที่อยู่ที่วิทยาลัยเซนต์ชาร์ลส์แห่งนี้
10 มหา'ลัย...สุดเฮี้ยนในอเมริกา
ภาพประกอบไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่อง
       รอยเท้า กระดาษปลิว และผีเด็กผู้ชาย
     
        เหตุการณ์อันชวนขนลุกที่ผู้คนที่อาศัยอยู่ในวิทยาลัยนี้พบเจอกันบ่อยครั้งนั่นก็คือ มักจะปรากฏรอยเท้าที่เปื้อนโคลนเดินย่ำไปมาโดยไม่รู้ว่าเป็นของใคร บางครั้งมีคนเห็นเป็นร่างของเด็กผู้ชายวิ่งกระโดด กระแทกเท้าแรงๆ หรือบางครั้งก็เกิดเสียงกระแทกประตูแรงโดยที่ไม่มีลมพัดหรือใครอยู่บริเวณนั้นเลย เหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นห้องสมุดของวิทยาลัยจากการบอกเล่าของแม่บ้านทำความสะอาด ที่มาทำงานในช่วงปิดเทอมและแน่นอนว่าไม่มีใครอยู่ที่ตึกนี้เลยแม้แต่คนเดียว หลังจากที่ทำความสะอาดเสร็จ พวกแม่บ้านก็ได้ยินเสียงประหลาดที่โต๊ะบริการจึงวิ่งไปดู ก็ไม่พบอะไร แต่พอเดินกลับมากลับพบรอยเท้าเปื้อนโคลนที่เดินย่ำไปบนพรมที่กลางห้องโถงเต็มไปหมด ด้วยความตกใจจึงวิ่งไปตามคนอื่นๆ มาดู แต่พอมาถึงก็พบว่ารอยเท้าเปื้อนโคลนเหล่านั้นได้หายไปแล้วอย่างไร้ร่องรอย มันหายไปได้อย่างไร? ด้วยวิธีไหน? และใครเป็นคนทำ?
10 มหา'ลัย...สุดเฮี้ยนในอเมริกา
ภาพประกอบไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่อง
       อีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นที่ตึกเทคโนโลยีใหม่ ขณะที่แม่บ้านกำลังทำความสะอาดอยู่นั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังกระโดดอย่างแรงจนพื้นสะเทือนลงมายังชั้นล่างที่พวกเขาทำงานอยู่ จึงได้แจ้งให้แม่บ้านที่ประจำอยู่ชั้นนั้นรีบไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น และเมื่อพวกเขาไปถึงห้องต้นเสียงก็ไม่พบอะไรแต่สิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือ กระดาษเอกสารสำคัญภายในห้องนั้นกำลังปลิวว่อนอยู่ในอากาศเป็นเวลานานกว่าชั่วโมงก่อนที่ทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติ สร้างความตื่นกลัวให้กับเหล่าแม่บ้านเป็นอย่างมาก บางคนวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง และบางคนถึงกับเข่าอ่อนจนหนีไปไหนไม่ได้เลยทีเดียว
     
        และเรื่องราวทั้งหมดนี้ก็น่าจะเกิดมาจาก “ผีเด็กผู้ชาย” ที่หลายคนพูดตรงกันว่าพวกเขาเห็นวิญญาณของเด็กผู้ชายที่แต่งตัวคล้ายกับคนในศตวรรษที่ 19 อายุราวๆ 9 ขวบ ที่ปรากฏตัวในยามค่ำคืน และคอยหลอกหลอนผู้คนเมื่อเวลาเขาอยู่คนเดียว แต่เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็ไม่อาจสรุปได้ว่าเป็นฝีมือของผีเด็กน้อยตนนี้ทั้งหมด บางทีอาจมีผีตัวอื่นที่ยังวนเวียนอยู่ในวิทยาลัยแห่งนี้ร่วมผสมโรงกับเด็กน้อยช่วยกันหลอกไปด้วยก็ได้
       
       ภาพและข้อมูลจาก http://www.manager.co.th/