วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

คุณลุงชาวอังกฤษตัดแต่งพุ่มไม้เป็นรูปมังกรขนาดยักษ์ กินเวลากว่า 10 ปี





คุณลุงอังกฤษ ใช้ความพยายาม ตัดแต่งพุ่มไม้เป็นรูปมังกรขนาดยักษ์ กินเวลานานกว่า 10 ปี
                                                                  
        เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2557 เว็บไซต์เดลี่เมล  รายงานว่า ภาพที่ได้เห็นต่อไปนี้ แสดงให้เห็นถึงความพยายามของคุณลุง จอห์น บรู๊คเกอร์ ที่ใช้เวลากว่า 10 ปี ในการตัดแต่งพุ่มไม้ข้างบ้าน ให้กลายเป็นมังกรขนาดยักษ์ความสูง 20 ฟุตและมีความยาวกว่า 100 ฟุต 

        ทั้งนี้ นายจอห์น บรู๊คเกอร์ วัย 75 ปี อดีตช่างพัดลม อาศัยอยู่ในเมืองนอร์โฟล์ก ประเทศอังกฤษ เขาได้ตัดแต่งพุ่มไม้เป็นรูปมังกร ที่มีทั้งรูจมูกกว้างและเขี้ยวแหลม อีกทั้งยังมีปีก 2 ข้างขนาดยักษ์และขาอีก 6 ขาอีกด้วย ซึ่งเขาต้องใช้เวลาเกือบ 10 ปี ในการตัดแต่งสัตว์ในตำนานตัวนี้ พร้อมทั้งใส่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ลงไปเมื่อพุ่มไม้ค่อย ๆ โตขึ้นเมื่อผ่านไปแต่ละปี 


ข้อมูลจาก http://hilight.kapook.com/ และภาพจาก http://www.dailymail.co.uk/

หนูน้อยอังกฤษป่วยแปลก ลิ้นโตไม่หยุดตั้งแต่เกิด

หนูน้อยอังกฤษป่วยภาวะลิ้นโตไม่หยุดแต่เกิด เข้ารับการผ่าตัด 3 ครั้ง พร้อมไปโรงเรียนแล้ว


               เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2557 เว็บไซต์เดลี่เมลของอังกฤษ เปิดเผยเรื่องราวของ โอลิเวีย กิลลี่ส์ หนูน้อยชาวอังกฤษวัย 4 ขวบ ที่กำลังเตรียมตัวเข้าโรงเรียนแล้ว หลังจากผ่านมรสุมชีวิตมาตั้งแต่ลืมตาดูโลก ด้วยภาวะลิ้นโตคับปาก ต้องเข้ารับการผ่าตัดถึง 3 ครั้ง

               รายงานระบุว่า หนูน้อยโอลิเวีย จิลลี่ส์ มีภาวะ Beckwith-Wiedemann syndrome หรือก็คือภาวะลิ้นโตไม่หยุด ตั้งแต่เธอยังอยู่ในท้องแม่ ซึ่งแม้ว่าเอมม่า คุณแม่วัย 29 ปี จะช็อกเมื่อได้พบว่าลูกผิดปกติเช่นนี้ แต่เธอก็ทำใจและพูดคุยกับแพทย์เพื่อหาทางแก้ปัญหามาโดยตลอด และเมื่อเธอคลอดโอลิเวีย โอลิเวียก็ถูกส่งไปอยู่ภายใต้การดูแลเป็นพิเศษของแพทย์ทันที กว่าจะได้อุ้มลูกก็ 8 ชั่วโมงหลังจากนั้น 

               เอมม่า เล่าว่า นับตั้งแต่โอลิเวียเกิด ก็ไม่ได้มีโอกาสดูดนมจากอกแม่เหมือนกับเด็กคนอื่น เพราะลิ้นคับปาก ต้องทานอาหารผ่านสายยางเท่านั้น 

               อย่างไรก็ดี หลังจากโอลิเวียมีอายุได้ประมาณ 4 เดือน เอมม่าและสามีก็พาไปพบแพทย์ ก่อนที่แพทย์จะทำการผ่าตัดให้โอลิเวียครั้งแรก ขณะที่มีอายุได้ 6 เดือน แต่ถึงอย่างนั้น การผ่าตัดก็ไม่ได้เสร็จสิ้นในครั้งเดียว โอลิเวียต้องเข้ารับการผ่าตัดอีก 2 ครั้ง นั่นคือตอนที่เธออายุได้ 1 ขวบ และ 2 ขวบ กว่าที่ลิ้นของเธอจะกลับมาเป็นปกติ ทำให้เธอสามารถทานและหายใจได้โดยไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์การแพทย์ใดเช่นทุกวันนี้

ภาพและข้อมูลจาก http://hilight.kapook.com/

รถขายไอศกรีมติดกุมารทองยอดขายพุ่ง

       คนขายไอศกรีมนำกุมารทอง 2 องค์ ความสูง 60 เซนติเมตร มาติดหน้ารถก่อนตระเวนขาย พบว่า เป็นที่ชื่นชอบของผู้พบเห็น โดยเฉพาะเด็ก ๆ จนทำให้ยอดขายดี
ขึ้นทุกวัน


            รายการข่าววันใหม่ ทางช่อง 3 รายงานว่า พบรถขายไอศกรีมนำกุมารทอง
มาติดไว้ที่หน้ารถ สร้างความแปลกใจให้กับผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก เมื่อผู้สื่อข่าว
ไปตรวจสอบก็พบรถขายไอศกรีมที่มีกุมารทอง 2 องค์ขนาดใหญ่ผูกติดไปกับตัวรถ
ซึ่งเจ้าของรถคันดังกล่าว คือ นายวรงค์ คชฤทธิ์ อายุ 43 ปี


            ทั้งนี้ นายวรงค์ เล่าว่า กุมารทองเด็กผู้ชายและกุมารทองเด็กผู้หญิงที่ผูกติดกับตัวรถนี้
มีความสูงประมาณ 60 เซนติเมตร นอกจากนี้ยังมีเคล็ดลับว่า จะนำพวงมาลัยมะลิสดมาไหว้
ก่อนที่ออกขายไอศกรีมทุกครั้ง จากนั้นค่อยขี่รถคันดังกล่าวตระเวนขายตามหมู่บ้าน


            สำหรับกุมารทองทั้ง 2 องค์นี้ มีที่มาคือ เมื่อหลายเดือนก่อน ตนได้ผ่านไปที่บ้าน
หลังหนึ่ง เมื่อเห็นกุมารทองตั้งอยู่กับพื้นจึงเอ่ยปากขอกับเจ้าของบ้าน ซึ่งเจ้าของบ้านก็
ยอมยกให้แต่โดยดี จากนั้นพอวันรุ่งขึ้น ตนจึงนำกุมารทองทั้ง 2 องค์ มาผูกติดที่รถ
พร้อมตั้งชื่อเด็กผู้ชายว่า กุมารทอง เด็กผู้หญิงชื่อ กุมารี และตั้งแต่ทำเช่นนี้ ยอดขาย
ไอศกรีมก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ เวลาขี่รถไปที่ไหนจะมีแต่คนมอง โดยเฉพาะเด็ก ๆ
ที่ชื่นชอบเป็นอย่างมาก

ภาพและข้อมูลจาก http://hilight.kapook.com/

ภาพจากกล้องวงจรปิดมีเงาดำลอยวูบตัดหน้าเก๋ง

                     กลับมาแชรืสนั่นออนไลน์อีกครั้ง คลิปกล้องวงจรปิดลานจอดรถต่างประเทศ จับวินาทีสยองขวัญ 




                                                   เงาดำลอยวูบตัดหน้าเก๋งจนต้องเบรกกะทันหัน 
                                     คนในรถอึ้งคิดว่าชนแน่ สุดท้ายลงมาตรวจสอบกลับไม่พบใครสักคน 


ผู้รู้นานาทรรศนะไม่ชัด วิทยาศาสตร์หรือสิ่งลี้ลับ

เมื่อวันที่ 30 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในสังคมออนไลน์วันนี้ บรรดานักท่องเน็ตได้มีการแชร์คลิป
สิ่งลี้ลับส่งต่อให้กันเป็นวงกว้าง ซึ่งเป็นคลิปวิดีโอที่เคยปรากฏให้ได้ชมแล้วก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังไม่มี
ผู้ใดหาที่มาที่ไปหรือข้อสรุปที่ชัดเจนในสิ่งที่เห็นได้ เราจึงนำกลับมาให้ดูอีกครั้ง เพื่อให้ผู้ที่มีความรู้
และเชี่ยวชาญในเรื่องนี้วิเคราะห์และใช้วิจารณญาณ ว่าเป็นวิทยาศาสตร์หรือไสยศาสตร์ ซึ่งคลิปนี้
เป็นภาพที่บันทึกจากกล้องวงจรปิดบริเวณลานจอดรถในต่างประเทศ ระบุว่าเป็นเวลา 02.31 น.
ของวันที่ 23 พ.ค.55 จับภาพรถเก๋งคนหนึ่งที่กำลังขับออกจากลานจอดโดยไม่มีรถคันใดกีดขวาง
อยู่ด้านหน้า แต่ครู่เดียวสิ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อจู่ๆมีลักษณะเป็นเงาประหลาด สีดำ เดินหรือลอย
ผ่านหน้ารถไปอย่างรวดเร็วก่อนจะหายวับไป ทำให้รถคันดังกล่าวต้องเหยียบเบรกทันที เป็นเหตุ
ให้ต้องรีบลงมาดู เนื่องจากคิดว่ารถน่าจะพุ่งชนเงาคนดังกล่าว แต่สุดท้ายก้ต้องงงเป็นไก่ตาแตก
เมื่อไม่พบเห็นคนหรือมนุษย์ แม้กระทั่งสัตว์ที่โดนชนเลย.


หมายเหตุ จะเห็นว่าคนขับเดินไปที่ท้ายรถ พบว่าที่พื้นมีชิ้นส่วนอะไรสักอย่างสีขาว หยิบขึ้นมาดูแล้วทิ้งไป
มันคืออะไรหรือ 

บางท่านก็บอกว่า คนขับน่าจะสร้างสถานะการณ์ แต่งภาพเองก็ได้ แหมรถจอดไม่เกินเฟรมกล้องเลยนะ 
จะพอดีอะะไรขนาดนั้น

ยังไม่จุใจดูคลิปเต็มๆดีกว่า
http://www.youtube.com/watch?v=t4mgJEhvjGQ



น้ำกับทราย' คลายปริศนาการสร้างพีระมิด


เมื่อนึกถึงประเทศอียิปต์ เราก็คงนึกถึงพีระมิดโบราณหลายแห่งที่ผุดขึ้นมาท่ามกลางทะเลทราย กับอูฐ
ที่คอยนำนักท่องเที่ยวเดินทางชมพีระมิด ตื่นตะลึงกับผลงานการรังสรรค์ของชาวอียิปต์โบราณที่ทุ่มแท
แรงกายแรงใจก่อสร้างสถานสถิตแห่งร่างกายและสะพานแห่งดวงวิญญาณกษัตริย์ที่เดินทางกลับจาก
โลกอีกโลกหนึ่ง ตามความเชื่อ "โลกหน้า" ของชาวอียิปต์โบราณ
                           พีระมิดนับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ 1 ใน 10 สิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณ ด้วยความเก่าแก่
และยิ่งใหญ่ ที่ยังคงยืนหยัดข้ามกาลเวลาจากเมื่อ 5,000 ปีที่แล้วมาถึงปัจจุบันได้ เช่น พีระมิดคีออปส์
ที่เป็นสถานเก็บพระศพพระเจ้าคีออปส์ หรือ พระเจ้าคูฟู ที่มีพระบัญชาให้บรรดาทาสและพลเมืองชาว
อียิปต์สร้างขึ้นมาเมื่อ 3,500 ปี ก่อนคริสตกาล ก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์ เพื่อใช้สถานที่นี้เป็น
ที่สุดท้ายของพระองค์ในโลกนี้ 
                           พีระมิดคีออปส์ได้ชื่อว่าเป็นพีระมิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีการประเมินว่า
เมื่อแรกสร้างพีระมิดแห่งนี้มีความสูง 481 ฟุต หรือประมาณ 160 เมตร กว้าง 768 ฟุต หรือประมาณ
256 เมตร สร้างขึ้นมาจากหินทรายขนาดใหญ่นำมาเรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ จนได้เหลี่ยมได้มุม 4 ด้าน
ว่ากันว่าหินแต่ละก้อนที่นำมาใช้มีน้ำหนักถึง 2.5 ตัน และเมื่อรวมน้ำหนักหินทั้งหมดที่นำมาสร้างก็อยู่
ที่ประมาณ 6 ล้านตัน
                           นักวิทยาศาสตร์ต่างสงสัยกันมานานแล้วว่า ชาวอียิปต์เคลื่อนย้ายหินขนาดใหญ่
น้ำหนักกว่า 2 ตัน ข้ามผ่านทะเลทรายที่ทุรกันดารจากแหล่งหินที่เชื่อว่าอยู่ห่างไปหลายสิบกิโลเมตร
ได้อย่างไร มีการตั้งทฤษฎีขึ้นมาหลากหลายตั้งแต่การเคลื่อนหินไปบนท่อนไม้หลายๆ ท่อน ให้ท่อนไม้
กลิ้งตัวนำหินผ่านพื้นทรายที่ร้อนระอุไป ซึ่งวิธีการดังกล่าวต้องใช้ทาสและแรงงานนับแสนคนและเวลา
นับสิบปีกว่าจะสร้างพีระมิดขึ้นมาได้


                           แต่เมื่อเร็วๆ นี้นักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัมร่วมกับนักวิทยาศาสตร์
จากหลายประเทศ ประกาศว่า สามารถไขปริศนาการเคลื่อนย้ายหินทรายขนาดใหญ่ผ่านทะเลทรายเพื่อ
มาสร้างพีระมิดได้แล้ว 
                           ปัจจัยสำคัญที่ใช้ในการเคลื่อนย้ายหินก็คือ "ทราย และ น้ำ" นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้
อธิบายว่า การใช้ทรายเปียกน้ำเคลื่อนย้ายของหนักๆ จะเป็นไปได้ง่ายขึ้น เพราะแรงเสียดทานบนพื้นผิว
เมื่อเทียบกับทรายแห้งจะลดลงไปกว่าครึ่ง การลากเลื่อนที่บรรทุกหินทรายก็จะทำได้สะดวก (แต่ไม่สบาย)
มากขึ้นนั่นเอง
                           ทีมนักวิทยาศาสตร์ยังแสดงให้เห็นว่า การลากก้อนน้ำหนักบนเลื่อนบนทรายแห้งกับ
ทรายเปียกนั้นต่างกันอย่างชัดเจน แต่ก็ต้องระวังไม่ให้ทรายนั้นเปียกจนเกินไป มิเช่นนั้นแรงตึงผิวบนทราย
เปียกโชกจะกลับก่อให้เกิดแรงเสียดทานขึ้นมาแทน ซึ่งปริมาณน้ำที่เหมาะสมในการเคลื่อนย้ายวัตถุ
บนทรายอยู่ที่ราว 2-5% ของปริมาณทราย
                           ที่น่าสมเพชคือ ชาวอียิปต์โบราณได้อธิบายวิธีการเคลื่อนย้ายหินหนักๆ โดยใช้ทรายเปียก
ไว้บนรูปวาดในสุสานกษัตริย์ Djehutihotep ไว้เมื่อนานมาแล้ว แต่คนรุ่นใหม่กลับตีความไม่ออกและพยายาม
ค้นหาวิธีการไขปริศนาของชาวอียิปต์โบราณด้วยวิธีต่างๆ โดยไม่ได้สนใจกับการตีความภาพนี้อย่างตรงไป
ตรงมา เพราะหลงไปกับมโนคติของนักอียิปต์วิทยาที่ตีความว่า การรดน้ำเป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อที่ว่าเป็น
การสร้างความบริสุทธิ์ให้เกิดขึ้นบนพื้นดิน ทำให้ไม่เคยมีการตีความภาพที่มีคำอธิบายอย่างง่ายๆ ในทาง
วิทยาศาสตร์แต่อย่างใด
ภาพและข้อมูลจาก http://www.komchadluek.net/

วันพุธที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ภาพถ่ายติดแสงคล้ายวิญญาณลอยออกจากร่าง

เมื่อวันที่ 25 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เกิดเรื่องฮือฮาบนโรงพัก สภ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เมื่อ ร.ต.อ.นิติกร
แสนกันทะ พนักงานสอบสวน ได้ไปทำคดีผู้เสียชีวิตจากการทะเลาะวิวาท และได้ถ่ายรูปศพเพื่อประกอบ
สำนวนการสอบสวน แต่ปรากฎว่า ภาพที่ถ่ายไว้ได้ติดแสงคล้ายวิญญาณศพลอยออกจากร่าง สร้างความตื่น
ตะลึงแก่เจ้าหน้าที่คนอื่น รวมทั้งประชาชนที่ทราบข่าว
ร.ต.อ.นิติกร เผยว่า ตนทำงานอาชีพตำรวจมากว่า 25 ปี ทำคดีที่เกี่ยวกับคนตายมานานมาก และพึ่งมีครั้งนี้
ที่ถ่ายภาพศพแล้วเป็นภาพติดวิญญาณแบบนี้ออกมา ตอนที่กลับมาทำสำนวนแล้วดูภาพก็ตกใจมาก จึงเอา
ภาพไปให้เพื่อนตำรวจท่านอื่นๆ ดู ต่างพากันตกใจกับภาพที่ออกมาเป็นอย่างมาก นับเป็นเรื่องแปลกประหลาด
แต่ตนก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง อาจจะเป็นเพราะแสงตอนถ่ายก็เป็นได้หรืออาจจะเป็นการถ่ายติดวิญญาณก็เป็นได้
ด้านนายอดิศักดิ์ คุ้มเมือง อายุ 64 ปี หัวหน้าชุดกู้ภัยเชียงใหม่ ทำงานมากว่า 30 ปี กล่าวว่า หลังเกิดเหตุ
ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ไปเก็บศพตามปกติ ก่อนจะนำศพส่งโรงพยาบาล พอตอนเช้าวันนี้ก็เข้าไปที่
สถานีตำรวจและเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจฮือฮากันทั้ง สภ.เชียงดาว หลังจากที่พบภาพถ่ายรูปศพของเจ้าหน้าที่
ตำรวจ ก็เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันว่าเป็นภาพติดวิญญาณขณะออกจากร่างของผู้ตาย ซึ่งตนเองทำอาชีพ
เกี่ยวกับศพมานานกว่า 30 ปี ก็เคยผ่านเหตุการณ์เห็นภาพวิญญาณมาแล้วหลายครั้ง แต่ครั้งนี้ภาพของ
เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถ่ายได้ชัดเจนมาก ซึ่งบรรดาประชาชนชาวเชียงดาวที่ทราบก็พากันแตกตื่นกับ
รูปนี้เป็นอย่างมาก..
ภาพและข้อมูลจาก http://www.dailynews.co.th/

วันเสาร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

สิ่งประดิษฐ์ที่ใกล้สูญพันธุ์

                        

                          เว็บไซต์ค้าปลีกในอังกฤษ PIXmania.com จัดอันดับอุปกรณ์เทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน
ที่ใกล้จะกลายเป็นของตกยุคเต็มทีซึ่งอาจจะเริ่มจากปี 2557 นี้ด้วยมีเทคโนโลยีใหม่กว่ามาแทนที่ ปรากฏว่า 
นาฬิกาปลุก มาเป็นอันดับหนึ่งในบัญชีใกล้สูญพันธุ์ 10 อันดับ เพราะสมาร์ทโฟนมาทำหน้าที่แทน 
รองลงไปคือเครื่องเนวิเกเตอร์ แท่นใส่เครื่องเล่นไอพอด กล้องวิดีโอแบบพกพาหรือ ฟลิป คาเมรา 
เครื่องเล่นบลูเรย์  เครื่องเล่นดีวีดี  นาฬิกา แบล็คเบอร์รี  รีโมทคอนโทรลโทรทัศน์ และทีวีเล็กแบบพกพา

                          เหตุที่เนวิเกเตอร์ เสี่ยงตกยุค ก็เพราะเดี๋ยวนี้ รถรุ่นใหม่ๆ ที่ออกมาใหม่ติดเนวิเกเตอร์
มาเรียบร้อยแล้ว แถมยังมีแอพพลิเคชั่นสมาร์ทโฟนให้ใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น ขณะที่ความนิยม
คอมพิวเตอร์แท็บเล็ตจอเรตินาก็กำลังเขี่ยทีวีขนาดเล็กแบบพกพาได้ ส่วนเครื่องเล่นแผ่นดีวีดีก็จะเสื่อม
ความนิยม เพราะผู้บริโภคหันไปใช้บริการรับชมผ่านระบบออนไลน์

                          แท่นที่ใช้เชื่อมต่อไอพอดกับลำโพงก็อาจค่อยๆ เสื่อมความนิยมไป เนื่องจากผู้บริโภค
หันมาใช้บลูทูธ หรือบริการไร้สายแทน

                          ส่วนรีโมทคอนโทรล ก็มีแอพพลิเคชั่นสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตที่ผู้ใช้สามารถควบคุม
อุปกรณ์อื่นๆ ภายในบ้านได้จากอุปกรณ์เดียว ตลอดจนการเข้ามาของสมาร์ททีวี ที่ใช้เซ็นเซอร์จับการ
เคลื่อนไหวในการเปลี่ยนช่องแทน ที่จะทำให้รีโมทคอนโทรลไม่ต้องมีก็ได้

                          คีแรน อัลเกอร์ บก.นิตยสารเทคโนโลยี T3 กล่าวว่า เราพูดกันจนติดปากแล้วว่า
เทคโนโลยีมาเร็วมาก แต่สิ่งที่กำลังเห็นคือจังหวะการเปลี่ยนแปลงที่เร็วขึ้นกว่าเดิม  เทคโนโลยีอย่าง 
บลูเรย์ จริงๆ ไม่ได้เก่าเลย แต่กลับถูกมองว่าจะเสื่อมความนิยมพราะบริการใหม่ๆ เข้ามาแทนที่อย่าง
รวดเร็ว กระนั้น อะไรก็ไม่เท่ากับสมาร์ทโฟน ศูนย์รวมคุกคามอุปกรณ์เทคโนโลยีอื่นหลากหลายชนิด 
เพราะนานวันก็ยิ่งมีลูกเล่นใหม่ๆ และทรงประสิทธิภาพมากขึ้นทุกที

                          พฤติกรรมคว้าหานาฬิกาปลุกยามเช้า อาจจะกลายเป็นอดีตในอีกไม่นานสำหรับ
บางคนที่วิ่งตามเทคโนโลยีใหม่ด้วยกำลังทรัพย์และความชื่นชอบ แต่สำหรับคนอีกมากมาย ยังอาจ
พอใจที่จะได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกอย่างเอะอะต่อไปยามเช้าก็เป็นได้ 

ภาพและข้อใูลจาก http://www.komchadluek.net/

ม.ฮาร์วาร์ดเปิดโรงงานผลิตอวัยวะส่วนบุคคล


แม้การเปลี่ยนอวัยวะให้แก่ผู้ป่วยถือเป็นเรื่องปกติกันแล้วในปัจจุบัน เพราะมีการเปลี่ยนอวัยวะกัน
อย่างมากมาย ทั้งดวงตา ตับ ไต ลิ้นหัวใจ แม้แต่หัวใจทั้งดวงก็มีการเปลี่ยนกันแล้ว แต่อุปสรรคสำคัญ
ในการเปลี่ยนอวัยวะก็คือ ต้องนำอวัยวะของผู้บริจาคที่เสียชีวิตแล้วมาใช้ ทำให้เกิดอาการ "ต้าน" 
อวัยวะชิ้นใหม่ที่เข้ามาทดแทนในร่างกายผู้ป่วย โดยระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ผู้ป่วยที่เข้ารับการเปลี่ยน
อวัยวะต้องกินยากดภูมิคุ้มกันของร่างกายไปตลอดชีวิต เสี่ยงต่อการติดโรคต่างๆ นานาได้ง่าย
                         นอกจากนั้นการรับอวัยวะจากผู้อื่นนั้น ยังมีปัจจัยที่สำคัญอีกประการคือ ความเข้ากันได้
ของอวัยวะกับร่างกายใหม่ ใช่ว่าผู้บริจาคคนหนึ่งจะมอบอวัยวะให้คนอื่นได้ทันที แพทย์ต้องพิจารณา
ถึงความเข้ากันได้ของเนื้อเยื่อและปัจจัยอื่นๆ อีกมาก
                         ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดของผู้ป่วยที่ต้องการเปลี่ยนอวัยวะก็คือ การเปลี่ยนอวัยวะ
ของตนเอง โดยมีดีเอ็นเอ สารพันธุกรรม และอื่นๆ จากตัวผู้ป่วยเอง ทำให้ไม่ต้องรอผู้บริจาคที่ต้องพร้อม
 (เสียชีวิต) หรือ แพทย์ตรวจสอบแล้วว่ามีเนื้อเยื่อที่เข้ากันได้กับผู้ป่วย
                         ด้วยเหตุนี้เอง ศูนย์เทคโนโลยีสร้างอวัยวะทดแทนฮาร์วาร์ด (Harvard Apparatus 
Regenerative Technology) หรือ ฮาร์ท หน่วยงานด้านชีวภาพการแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด 
จึงได้คิดค้นวิธีการสร้างอวัยวะทดแทนขึ้นมาจากเซลล์ต้นกำเนิด (สเต็มเซลล์) ของผู้ป่วยที่ต้องการ
อวัยวะทดแทนขึ้นมา โดยเริ่มดำเนินการมาสักพักใหญ่ และมีผู้ป่วย 8 รายที่ใช้บริการอวัยวะทดแทน
จากการผลิตภายนอกร่างกายโดยศูนย์ฮาร์ทตั้งแต่ปี 2551
                         ล่าสุด ศูนย์ฮาร์ทได้ผลิตหลอดลม สำรองขึ้นมา โดยใช้การสร้างเนื้อเยื่อแบบ
เส้นใยบางๆ บางกว่าเส้นผมประมาณ 100 เท่า มาพันรอบท่อวัสดุสังเคราะห์เพื่อนำไปใช้กับผู้ป่วย
ที่ต้องการเปลี่ยนหลอดลม โดยเส้นใยเนื้อเยื่อดังกล่าวสร้างขึ้นมาจากการเพาะเนื้อเยื่อจากสเต็มเซลล์
ของผู้ป่วยรายนั้นๆ
                         ฮาร์ท กำลังทดลองการผลิตอวัยวะในรัสเซีย สหภาพยุโรป (อียู) และส่งรายงาน
ความคืบหน้าของโครงการให้แก่สำนักงานอาหารและยา (เอฟดีเอ) แห่งสหรัฐอเมริกา เพื่อการพิจารณา
อนุญาตการผลิตอวัยวะสำรองให้แก่ผู้ป่วยชาวอเมริกัน ที่เฉพาะในสหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียว
ก็มีผู้ป่วยที่รอการเปลี่ยนอวัยวะมากถึง 1.2 แสนคน
                         นายโจเซฟ วาคานตี้ ผู้นำการวิจัยวิศวกรรมเนื้อเยื่อ และนักวิทยาศาสตร์ด้านการ
ผ่าตัดแห่งโรงพยาบาลแมสซาชูเซตส์ เจนเนอรัล กล่าวว่า ตัวเลขผู้ป่วยที่รอการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะมี
มากกว่านั้นมาก ดังนั้นการตั้งโรงงานผลิตอวัยวะสำหรับผู้ป่วยแต่ละรายจึงเป็นทางเลือกที่ตอบสนอง
ต่อความจำเป็นในโลกใบนี้ได้
                         แต่ถ้ามองในอีกแง่หนึ่งการสร้างอวัยวะในโรงงาน จะทำให้ "ความเป็นคน" 
ลดลงหรือไม่ หรือเราต้องนิยามเรื่อง "คุณค่าของคน" กันใหม่แล้ว?

ภาพและข้อใูลจาก http://www.komchadluek.net/

พบแหล่งน้ำจืดขนาดยักษ์ใต้ทะเล


นักวิจัยออสเตรเลียพบแหล่งน้ำจืดขนาดมหึมาอยู่ใต้พื้นมหาสมุทรบริเวณไหล่ทวีประหว่างออสเตรเลีย จีน 
อเมริกาเหนือ และแอฟริกาใต้ โดยคาดว่าปริมาณอาจมากถึง 5 แสนลูกบาศก์กิโลเมตร
                        วินเซนต์ โพสต์ จากมหาวิทยาลัยฟลินเดอร์ส ในออสเตรเลีย เผยแพร่ผลศึกษาในวารสาร
เนเจอร์ ฉบับล่าสุดว่า ปริมาณแหล่งน้ำที่ว่านี้มีมากกว่าหลายร้อยเท่าเมื่อเทียบกับปริมาณน้ำที่เราขุดจากใต้
บาดาลในศตวรรษที่ผ่านมานับจาก ค.ศ. 1900 และขณะที่แหล่งน้ำจืดบนโลกของเรากำลังมีปัญหาขัดสน
มากขึ้นเรื่อยๆ  การค้นพบแหล่งน้ำที่มีความเค็มต่ำนอกชายฝั่ง จึงเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น เพราะถือเป็นอีก
ทางเลือกสำหรับมนุษย์ที่กำลังแสวงหาหนทางลดผลกระทบจากภัยแล้งและขาดแคลนน้ำ
                        ยูเอ็น วอเทอร์ หน่วยงานด้านน้ำของสหประชาชาติ ประเมินว่าปริมาณการใช้น้ำขยายตัว
เร็วกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรสองเท่าในศตวรรษที่แล้ว เนื่องจากความต้องการน้ำในภาคเกษตรและ
การผลิตเนื้อสัตว์ ปัจจุบันมีประชากรโลกกว่า 40% ที่อยู่ในสภาพขาดแคลนน้ำ และภายในปี 2030 
จะเพิ่มเป็นร้อยละ 47
                        การวิจัยปริมาณน้ำใต้พื้นทะเลมาจากการรวบรวมผลการวิจัยใต้ทะเล ทั้งที่ทำเพื่อวัตถุประสงค์
ทางวิทยาศาสตร์ หรือสำรวจหาแหล่งก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน ซึ่งทุกผลการศึกษามีจุดร่วมอย่างหนึ่ง คือ
การค้นพบน้ำจืดใต้พื้นทะเล
                        แหล่งน้ำจืดใต้พื้นทะเลก่อตัวมานานหลายล้านปีในอดีต เมื่อระดับน้ำทะเลลดลงและ
พื้นที่ก่อนเป็นมหาสมุทรในปัจจุบัน ดูดซับน้ำฝนลงไปใต้พื้น เมื่อน้ำแข็งขั้วโลกเริ่มหลอมละลายเมื่อราว
 2 หมื่นปีก่อน พื้นที่ดังกล่าวสูญหายไปใต้น้ำแต่ชั้นหินอุ้มน้ำยังคงอยู่โดยมีชั้นดินเหนียวและดินตะกอน
คุ้มกัน จะว่าไปก็เปรียบเทียบได้กับแอ่งน้ำทั้งหลายที่โลกพึ่งพาอาศัยเป็นแหล่งทำน้ำดื่ม แต่สิ้นเปลือง
น้อยกว่าการน้ำทะเล มาขจัดความเค็ม และนอนว่าการขุดเจาะน้ำจืดใต้สมุทรจะมีราคาแพง อีกทั้งต้อง
ระวังอย่างมากที่จะต้องไม่ให้ชั้นหินอุ้มน้ำที่เป็นตัวป้องกันเกิดการปนเปื้อน

ภาพและข้อมูลจาก http://www.komchadluek.net/

แผนที่โลกใหม่

ผู้ที่ทำนายเรื่อง "แผนที่โลกใหม่" ไว้ก็คือ นายกอร์ดอน ไมเคิล สคัลเลียน 
ชายชาวอเมริกัน ซึ่งเคยเกือบเสียชีวิตไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่กลับฟื้นขึ้นมาได้อย่าง
ปาฏิหาริย์ หลังจากนั้น เขาก็อ้างว่าได้รับพรสวรรค์เรื่องการหยั่งรู้อนาคต และยังเคย
ทำนายเหตุการณ์แผ่นดินไหวได้ถูกต้องหลายครั้ง เช่น เหตุการณ์แผ่นดินไหวใน
ลอสแองเจอลิส แคลิฟอร์เนีย เมื่อวันที่ 22 เมษายน ค.ศ.1992 (พ.ศ.2535), 
เหตุการณ์แผ่นดินไหวในแลนเดอร์ส (Landers) และ บิ๊กแบร์ (Big Bear) 
แคลิฟอร์เนีย เมื่อ 17 มกราคม ค.ศ.1994 (พ.ศ.2537) รวมทั้งแผ่นดินไหว
ที่เมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 17 มกราคม ค.ศ.1995 (พ.ศ.2538) เป็นต้น

          สำหรับเรื่อง "น้ำท่วมโลก" นั้น นายกอร์ดอน บอกว่า ตนได้มองเห็นตัวเอง
อยู่สูงขึ้นไปในอวกาศ แล้วมองกลับลงมาบนโลกเห็นแผนที่ใหม่ของโลก จนเมื่อ
เวลาผ่านไปอีกหลายปี เขาก็ยังเห็นภาพเดิม ๆ อีก จึงได้สร้างแผนที่โลกใหม่ หรือ 
Future Map Of The World ขึ้นมา เมื่อปี ค.ศ.1978 (พ.ศ.2521) และจัดพิมพ์
ในปี ค.ศ.1982 (พ.ศ.2525) โดยระบุว่า จะเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติใหญ่ ๆ 
ในโลกระหว่างปี ค.ศ.1998-2012 (พ.ศ.2541-2555) ทั้งแผ่นดินไหว 
ภูเขาไฟระเบิด รวมไปถึงเหตุการณ์น้ำท่วมโลก จนทำให้หลายประเทศ
หายไปจากแผนที่โลกในปัจจุบัน โดยเฉพาะประเทศที่เป็นเกาะอยู่แล้ว
จะจมน้ำทั้งหมด และมีประชากรหลงเหลือเพียงแค่ 10% เท่านั้น

          และเมื่อพิจารณา "แผนที่โลกใหม่" ของนายกอร์ดอนแล้ว จะเห็นได้ว่า 
แต่ละทวีปเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด โดย
ทวีปเอเซีย หลังปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)
ทวีปเอเซีย หลังปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)
ทวีปเอเชีย

          ได้รับผลกระทบหนักที่สุด เพราะอยู่ในแนว "วงแหวนแห่งไฟ" และเขตรอยต่อ
ของเปลือกโลก นายกอร์ดอน ทำนายไว้ว่า จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ตั้งแต่ประเทศฟิลิปปินส์ 
ญี่ปุ่น ไล่ขึ้นไปถึงทะเลแบริ่งที่เป็นช่องแคบอยู่ระหว่างรัฐอะแลสกา กับประเทศรัสเซีย 
ทำให้เกาะของประเทศญี่ปุ่นจมทั้งหมด เหลือเพียง 2-3 เกาะเล็ก ๆ เท่านั้น เช่นเดียว
กับฟิลิปปินส์ที่จะถูกน้ำกลืนไปทั้งหมด

          ส่วนไต้หวัน และเกาหลีส่วนใหญ่จะจมหายไปในทะเลด้วย ขณะที่แนวฝั่งของ
ประเทศจีนจะเลื่อนเข้าไปในแผ่นดินอีกหลายร้อยไมล์ ด้านอินโดนีเซียจะเกิดเกาะใหม่ ๆ 
ขึ้นมา แต่เกาะที่มีอยู่ก่อนหน้าก็จะจมหายไปด้วยเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดจากแผ่น
เปลือกโลกที่เคลื่อนตัว ทำให้เกิดการมุดตัว  ยกตัวของแผ่นดิน

          สำหรับประเทศไทย นายกอร์ดอน ทำนายไว้ว่า จะเหลือเพียงแค่ส่วนภาคเหนือ 
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือบางส่วน และภาคกลางตอนบนเท่านั้น จังหวัดนครราชสีมา 
ชัยภูมิ เพชรบูรณ์ พิจิตร พิษณุโลก สุโขทัย ตาก จะกลายเป็นชายฝั่งทะเล ขณะที่
จังหวัดที่ติดกับแม่น้ำโขง คือ อุบลราชธานี อำนาจเจริญ มุกดาหาร นครพนม 
หนองคาย จะจมทะเลไปหมด และแม่น้ำโขงจะเปลี่ยนเป็นทะเลไปด้วย

          ขณะที่ภาคกลางตอนล่าง รวมทั้งกรุงเทพมหานคร ภาคตะวันออก ภาคใต้ 
รวมทั้งมาเลเซีย สิงคโปร์ จะถูกน้ำท่วมจมหายไปจนหมดเช่นกัน
ทวีปออสเตรเลีย หลังปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)
ทวีปออสเตรเลีย หลังปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)
ทวีปออสเตรเลีย

          ประเทศออสเตรเลียจะสูญเสียแผ่นดินไปประมาณ 25% เพราะน้ำท่วมชายฝั่ง
เกือบหมด และจะเกิดแผ่นดินไหวขึ้นมาที่นอกชายฝั่งที่บริเวณช่องแคบบาสส์เชื่อมกับ
เกาะทาสเมเนีย ส่วนประเทศนิวซีแลนด์ จะมีขนาดใหญ่ขึ้น เพราะเกิดจากการยกตัว
ของแผ่นดินที่เป็นผลมาจากการระเบิดของภูเขาไฟ และมีแผ่นดินบางส่วนเชื่อมต่อ
กับประเทศออสเตรเลียด้วย
ทวีปยุโรป หลังปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)
ทวีปยุโรป หลังปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)
ทวีปยุโรป

          ประเทศฟินแลนด์ นอร์เวย์ สวีเดน และเดนมาร์กจะถูกน้ำท่วม เหลือเพียงเกาะเล็ก ๆ 
น้อย ๆ นับร้อยเกาะ ขณะที่สหราชอาณาจักร ตั้งแต่สกอตแลนด์จนถึงช่องแคบจะจม
หายไปในทะเลทั้งหมด เหลือเพียง 2-3 เกาะเล็ก ๆ เท่านั้น

          ประเทศรัสเซียจะแยกตัวออกจากทวีปยุโรป เพราะทะเลสาบแคสเปียน ทะเลดำ 
ทะเลคารา ทะเลบอสติก จะมารวมเข้าไว้ด้วยกัน กลายเป็นทะเลขนาดใหญ่แห่งใหม่ 
ถูกแบ่งด้วยเทือกเขาอูราล ยาวไปถึงแม่น้ำเยนิเซในไซบีเรีย ตรงนี้อุณหภูมิจะอบอุ่นขึ้น 
กลายเป็นแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ในอนาคต

          ประเทศบัลแกเรีย และโรมาเนียจะจมอยู่ใต้น้ำ เพราะทะเลดำขยายตัวไปรวม
กับทะเลทางตอนเหนือ ประเทศฝรั่งเศสจมน้ำทั้งหมด เหลือแค่เกาะในกรุงปารีส และ
เกิดทางน้ำใหม่แยกประเทศสวิตเซอร์แลนด์ออกจากประเทศฝรั่งเศส ส่วนประเทศ
อิตาลี ซึ่งมีพื้นที่ต่ำอยู่แล้วจะจมน้ำทั้งหมด ยกเว้นนครรัฐวาติกันที่อยู่ที่สูงจะปลอดภัย 
และแผ่นดินสูง ๆ จะกลายเป็นเกาะ เกิดแผ่นดินใหม่ทอดยาวจากเกาะซิซิลิไปจนถึง
เกาะซาร์ดิเนีย

          นอกจากนี้ นายกอร์ดอน ยังทำนายด้วยว่า จะเกิดสงครามศาสนาในดินแดน
โปแลนด์ เรื่อยไปถึงตุรกี แต่สงครามจะยุติลงด้วยความบริสุทธิ์ของแผ่นดินโดยไฟ
และน้ำ ขณะที่ตุรกีด้านตะวันตกจะจมอยู่ในน้ำ เกิดแนวชายฝั่งใหม่จากเมืองอีสตันบูล
ถึงไซปรัส ส่วนใหญ่ของสมรภูมิในสงครามโลกครั้งที่สองจมลงสู่ใต้ทะเล ก่อให้เกิด
เกาะเล็ก ๆ ขึ้น
ทวีปแอฟฟริกา หลังปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)
ทวีปแอฟริกา หลังปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)
ทวีปแอฟริกา

          ทวีปแอฟริกาจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน โดยมีแม่น้ำไนล์ซึ่งกว้างกว่าเดิมมาก
เป็นตัวแบ่งเขต โดยแม่น้ำไนล์นี้ จะวางอยู่ในรูปตัว Y ของกลางทวีป และไหลผ่าน
เส้นทางใหม่ คือ ไหลจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตรงปากแม่น้ำไนล์ ผ่านประเทศซูดาน 
และมีต้นกำเนิดแม่น้ำอยู่ที่เมืองเคปทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้

          ขณะที่ทะเลแดง ซึ่งอยู่ตอนเหนือของทวีปจะขยายกว้างขึ้น ทำให้กรุงไคโร 
ประเทศอียิปต์ และเกาะมาดากัสการ์เกือบทั้งหมดจมลงสู่ทะเล ทะเลสาบวิคทอเรีย
จะรวมเข้ากับทะเลสาบนยาซาไหลลงสู่มหาสมุทรอินเดีย

          นอกจากนี้ ยังมีแผ่นดินใหม่เกิดขึ้นในทะเลอาหรับ บริเวณตอนใต้ของประเทศ
โอมาน และยังมีแผ่นดินขนาดใหญ่เกิดขึ้นบริเวณทางเหนือและตะวันตกของเมือง
เคปทาวน์ด้วย


ทวีปอเมริกาเหนือ

          อ่าวฮัดสันในประเทศแคนาดาจะขยายตัวออกกลายเป็นทะเลปิดในประเทศ 
พื้นดินบริเวณชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือจะต้องถอยร่นเข้ามาในแผ่นดินอีก 200 ไมล์ 
เพราะพื้นที่เก่าถูกน้ำท่วมไปจนหมด ส่วนชาวเมืองที่อาศัยแถบบริติชโคลัมเบีย 
และอะแลสกา จะต้องอพยพมาอยู่ในควิเบก ออนตาริโอ มานิโตบา ซาสแกนเซวัน 
แอลเบอร์ตา จะกลายเป็นศูนย์กลางผู้ที่รอดพ้นหายนะระหว่างการเปลี่ยนแปลงในตอนต้น

          ส่วนที่ประเทศสหรัฐอเมริกาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นที่แรกของโลก 
โดยแผ่นทวีปอเมริกาเหนือจะเกิดการโก่งตัว เกิดหมู่เกาะแคลิฟอร์เนียขึ้นอีก 150 เกาะ 
ต่อมาแผ่นเปลือกโลกแผ่นหนึ่งที่มุดตัวลงไปใต้อีกแผ่นหนึ่ง จะทำให้เกิดแนวโก่งตัว
และรอยแยก นำไปสู่อุทกภัย ทำให้ ฝั่งทะเลด้านตะวันตกหดลงไปทางตะวันออกสู่
รัฐเนเบรสกา ไวโอมิง และโคโลราโด ส่วนทะเลสาบ เกรทเลค (ประกอบด้วยทะเลสาบ
สุพิเรีย, ฮูรอน, มิชิแกน, อิรี และออนแตริโอ) และแม่น้ำเซนต์ลอเรนซ์จะเชื่อมต่อ
เข้ากับแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ไหลลงสู่อ่าว

          ขณะที่ประเทศเม็กซิโก น้ำจะท่วมจากชายฝั่งเข้ามาในแผ่นดิน ทำให้คาบสมุทร
แคลิฟอร์เนียกลายเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะ พื้นที่ส่วนใหญ่ของยูคาทาน พีนิซูลา
จะหายไปในทะเล และจะเกิดภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว ต่อเนื่องยาวนานถึง 25 
ศตวรรษ

          ประเทศในอเมริกากลางและแคริบเบียนจะเกิดอุทกภัย จำนวนเกาะลดลง 
จะมีเส้นทางน้ำใหม่เกิดขึ้นจากอ่าวฮอนดูรัสไปออกที่เอลซัลวาดอร์ ส่วนคลอง
ปานามาจะกลายเป็นคลองตัน


ทวีปอเมริกาใต้

          เนื่องจากมีหลายประเทศอยู่ในพื้นที่ "วงแหวนแห่งไฟ" ทำให้เกิดความ
เปลี่ยนแปลงในทวีปอเมริกาใต้มากไม่แพ้ทวีปเอเชีย โดยจะเกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟ
ระเบิดในประเทศเวเนซุเอลา โคลัมเบีย และบราซิล จะเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ในลุ่มน้ำ
อะเมซอนที่ประเทศเปรู และโบลิเวีย กลายเป็นทะเลในภายในทวีป ส่วนประเทศ
ซานวาดอร์ เซาเปาโล ริโอดอร์จาเนโร และบางส่วนของ อุรุกวัย จะจมหายไปในทะเล

          ส่วนเมืองซัลวาดอร์ เซาเปาโล ริโอเดอร์จาเนโร ของประเทศบราซิล และ
บางส่วนของประเทศอุรุกวัยจะจมหายไปในทะเล ขณะที่ประเทศอาร์เจนตินาจะเกิด
ทะเลปิดขึ้นในตอนกลางของประเทศ และยังเกิดแผ่นดินขนาดใหญ่ทางตะวันตก
ของทวีป บริเวณประเทศชิลี รวมทั้งเกิดทะเลปิดขึ้นในบริเวณนั้นอีกแห่งด้วย

          ดูจากคำทำนายของนายกอร์ดอนที่ระบุไว้เป็น "แผนที่โลกใหม่" นี้ ก็คงต้อง
ยอมรับว่า หากเป็นจริงคงจะน่ากลัวไม่น้อย แต่ ณ วันนี้ เราก็ไม่ควรตื่นตระหนก
จนเกินไป เพราะนี่เป็นเพียงคำทำนายเท่านั้น ฉะนั้นแล้ว โปรดใช้ดุลพินิจในการ
ไตร่ตรองคำทำนายต่าง ๆ จะดีที่สุดค่ะ

            และจากการที่มีการนำเสนอแผนที่โลกใหม่เป็นการนำมาซึ่งความกลัวเรื่อง
นำ้ท่วมทำให้หลายคนต่างอยู่กันไม่เป็นสุข เพราะต้องช่วยกันเฝ้าจับตาดูเหตุการณ์
พายุน้ำฝน น้ำป่า น้ำทะเล ไหลท่วมทะลักเข้าประเทศไทยทุกสารทิศ เป็นปรากฏ
การณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน 

           "ปกติแล้วกรมชลประทานจะใช้ตัวเลขปริมาณน้ำเมื่อปี 2538 และปี 2549
 ซึ่งเป็นปีที่น้ำท่วมมากสุดเป็นมาตรฐานวัดสถิติน้ำท่วม โดยระดับน้ำสูงสุดจากระดับ
น้ำทะเลปานกลางของปี 2538 บริเวณ จ.ปทุมธานี อยู่ที่ 3.17 เมตร แต่ปี 2554 
สูงถึง 3.21 เมตร ส่วนระดับน้ำที่ จ.นนทบุรี ปี 2538 สูงที่ 2.33 เมตร แต่ปีนี้พุ่ง
สูงสุดที่ 2.56 เมตร..." นายวีระ ยกตัวอย่าง

           จนถึงวันนี้...ยังไม่มีใครวิเคราะห์ได้ว่า น้ำจะท่วมเพิ่มสูงขึ้นไปอีกเท่าไร !?!
           หลายคนไม่เชื่อว่าคำพยากรณ์น้ำท่วมโลกจะเป็นเรื่องจริง อาจจะต้องคิดใหม่ 
เพราะแม้แต่นักวิทยาศาสตร์ยังแปลกใจเมื่อเห็นสถิติพายุมรสุมในแต่ละปีมีจำนวน
มากขึ้นและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ บางคนเชื่อว่าเกิดจากภาวะภูมิอากาศแปรปรวน หรือ 
ภาวะโลกร้อน แต่หลายคนเชื่อว่ามหันตภัยน้ำท่วมปีนี้ คือ จุดเริ่มต้นของน้ำท่วมโลก
ที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2012 หรือ พ.ศ. 2555 

           กลุ่มผู้เชื่อใน "วันน้ำท่วมโลก" อ้างอิงข้อมูลวิทยาศาสตร์ว่า 1.ธารน้ำแข็ง
บริเวณหมู่เกาะกรีนแลนด์ ซึ่งตั้งในมหาสมุทรอาร์กติกทางเหนือกำลังละลาย ด้วย
พื้นที่กว่า 2.2 ล้าน ตร.กม. มีน้ำแข็งกว่า 19 ร้อยล้านตัน น้ำแข็งกำลังละลายเป็น
น้ำวันละ 1 ล้านตัน โดยจะไหลลงมาสะสมจนทำให้เกิดน้ำท่วมหนักในปี 2012 ข
ณะที่คำทำนายจากกลุ่มนักวิจัยอวกาศอ้างว่า องค์การนาซา หรือองค์การบริหาร
การบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา ใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์คำนวณได้ว่า 
"วันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 แกนโลกจะพลิกกลับขั้ว" หมายถึง ขั้วโลกเหนือ
จะพลิกมาอยู่ขั้วโลกใต้ ช่วงเวลานั้นโลกจะไม่มีพลังสนามแม่เหล็กออกมาป้องกัน
รังสีต่างๆ ทำให้พลังความร้อนสูง หรือ "เปลวสุริยะ" (solar flare) จากดวงอาทิตย์
พุ่งตรงมายังโลก ทำให้ธารน้ำแข็งขั้วโลกละลายฉับพลัน เกิดหายนะน้ำท่วมทั่วโลก

           "สุมิตร อิศรางกูร ณ อยุธยา" อดีตนักวิทยาศาสตร์ขององค์การนาซา 
ให้สัมภาษณ์ว่า น้ำท่วมไทยปีนี้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะมีการเตือนภัยมานาน
กว่า 10 ปีแล้ว เนื่องจากระหว่างที่แกนโลกเคลื่อนตัวพลิกกลับขั้วจากเหนือไปใต้นั้น 
ส่งผลให้พลังสนามแม่เหล็กเปลี่ยนแปลง แกนโลกเอียงจาก 23.5 องศาเป็น 
24.5 องศา ภาวะแปรปรวนของจักรวาลทำให้โลกร้อนระอุอย่างรวดเร็ว น้ำแข็ง
จากทั่วโลกละลายเร็วมากขึ้น นอกจากนี้ยังจะเกิดพายุลมมรสุมและภัยธรรมชาติด้านต่างๆ

           "เปรียบเทียบได้กับไฟฟ้าลัดวงจร ปกติไฟฟ้าจะวิ่งจากสูงลงต่ำ แต่พลิก
กลับด้านเป็นวิ่งจากต่ำขึ้นสูง ภัยพิบัติธรรมชาติจะมีทั้ง ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ สังเกต
ไหมว่าช่วงปีที่ผ่านมา มีรายงานข่าวเรื่องดินถล่ม โคลนถล่ม ตามพื้นที่ต่างๆ 
ทั่วโลก จากนั้นก็เกิดคลื่นยักษ์สึนามิและน้ำท่วมในประเทศต่างๆ ต่อไปจะเกิด
ภัยธรรมชาติที่เกี่ยวกับลม เช่น พายุลมที่ปกติความเร็ว 40 กม.ต่อชม. จะเพิ่ม
เป็น 450 กม.ต่อชม. จากนั้นจะเกิดเป็นไฟป่าทั่วไป หน้าร้อนจะร้อนมากขึ้น" 
อ.สุมิตร กล่าววิเคราะห์

           สำหรับนักวิทยาศาสตร์ไทยกลุ่มที่ไม่ปักใจเชื่อเรื่องน้ำท่วมโลกนั้น 
พวกเขาวิเคราะห์ว่า น้ำท่วมประเทศไทยหนักขึ้นทุกปี เพราะแผ่นดินทรุดตัวและ
มีการสร้างตึกสูงหรือสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ขวางทางน้ำไหล "ดร.เสรี ศุภราทิตย์" 
ผอ.ศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต ให้ข้อมูลว่า จากงานวิจัยเรื่อง 
"ผลกระทบและแนวทางการปรับตัวจากผลพวงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ต่อกรุงเทพฯ และปริมณฑล" พบว่า ปกติพื้นที่กรุงเทพฯ รับปริมาณน้ำฝนไหล
ผ่านได้ไม่เกิน 2,500 ลบ.ม.ต่อวินาที แต่ปี 2554 มีน้ำไหลผ่าน 4,700 ลบ.ม.
ต่อวินาที ทำให้น้ำท่วมหนัก

            สาเหตุหลักเกิดจาก 1.พื้นที่ชายฝั่งทะเลไทยหายไปปีละประมาณ 10
 เมตร และพื้นดินเป็นดินอ่อนมีการทรุดตัวอยู่ตลอดเวลา อีก 40 ปีข้างหน้าจะ
ทรุดต่ำลงไปอีกประมาณ 30 ซม.ทำให้น้ำท่วมง่าย และ 2. ผลจากภาวะโลกร้อน
เมื่อน้ำฝนเพิ่มมากขึ้นการระบายน้ำจึงไม่ทัน ยิ่งไปกว่านั้นพื้นที่ตามแนวชายฝั่ง
มักจะมีการสร้างตึกสูงหรือสิ่งก่อสร้างขวางทางน้ำไหล ทำให้ไม่มีช่องทางระบายน้ำออก

           "องค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจสหภาพยุโรป (โออีซีดี)ใช้คอมพิวเตอร์
วิเคราะห์น้ำท่วมในอนาคต มีผลยืนยันได้ว่าอีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า คือ พ.ศ. 2563 
จะเกิดน้ำท่วม 9 เมืองใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย หนึ่งในนั้นมีประเทศไทยรวมอยู่ด้วย คือ 

1.เมืองโกลกาตา 
2.เมืองมุมไบ อินเดีย 
3.เมืองดักกา บังกลาเทศ 
4.มณฑลกวางสี จีน 
5.เมืองเซี่ยงไฮ้ จีน 
6.นครโฮจิมินห์ เวียดนาม 
7.เมืองไฮฟอง เวียดนาม 
8.เมืองย่างกุ้ง พม่า และ 
9.กรุงเทพมหานคร 

ตอนแรกคาดกันว่าน้ำจะเริ่มท่วมประมาณปี 2560 2561 2562 แต่ไม่รู้ว่า 2554 คือ
จุดเริ่มต้นหรือเปล่า วิธีแก้คือต้องปล่อยให้น้ำไหลไปตามทางธรรมชาติ อย่าสร้าง
สิ่งกีดขวาง" ดร.เสรีกล่าวแนะนำทิ้งท้าย

ข้อมูลและภาพจาก http://hilight.kapook.com/ และhttp://www.komchadluek.net/