วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ภาพฮาฮาของคนเมาหนัก


ในงานเลี้ยงไหนๆ ที่มีเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอลเป็นตัวช่วยเพิ่มความสนุกๆสนาน
ให้แก่คนในงาน
แต่ว่าบางคนดื่มหนักจนสนุกเกินพอดี ก็อาจจะได้ภาพอย่างนี้
1.
ซานตาครอสส่งของขวัญมากไปหน่อย.... เอื้อก!!

2.อยู่ดีๆก็อยากนอนซะงั้น

3.เดี๋ยวช่วยเดินให้ตรงตามเส้นนี้นะครับ

4.เดี๋ยวลองเป่าเครื่องวัดแอลกอฮอลนี่หน่อยนะครับ



5.สนุกเกินแขก มันส์เกินเจ้าภาพไปนะเจ๊

6.ทำไมบันไดนี้มันลื่นจังฟระ

7.เดี๋ยวลุกไปอาบน้ำให้หายเมาแป๊บ…

8.ฮาฮา!!! ขี่ม้า สนุกจริงๆ!!

9.มันส์ดีนักใช่ไหม ลงไปเลย!!



10.เอ๊ะ!! ก็เดินขึ้นไปจะถึงแล้วนี่นา

11.
ไม่ไหวแล้ว... ขอนอนแป๊บ!!!


12. เหินฟ้า!! แอ๊ค!!

13. นี่ๆเป็นไง ผมหล่อไหม ฮะเฮื้อก!!

14. จ่าด่าดาดำ อุ๊ฟ!!


15.ฉันจะว่ายไป ว่ายไป ว่ายไป…



16. เฮ้ยๆ อย่าเข้ามานะ!!

17.ร้อนจัง ของลงน้ำแป๊บ

18. โลกหมุนติ้วววว แว๊ก!!

จะเห็นได้ว่า บางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเสี่ยงถึงชีวิตได้เลยละ  และเท่านั้นยังไม่พอ
สำหรับยุคนี้ อาจเป็นภาพที่สร้างความอับอายได้ทั้งตระกูลทีเดียว


Cr. http://www.catdumb.com/

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ช่างภาพlสามารถถ่าย"ภูเขาไฟระเบิด แสงเหนือ และทางช้างเผือก"ได้ในภาพเดียวกัน




สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายมาเซียจ วิเนียคซิค ช่างภาพระดับมือโปร และเจ้าของรางวัลการถ่ายภาพจากทั่วทุกมุมโลก สร้างความฮือฮา ภายหลังสามารถถ่ายภาพแสงเหนือ ทางช้างเผือก และภูเขาไฟระเบิดได้ในภาพเดียวกัน


รายงานระบุว่า ภาพดังกล่าวเกิดขึ้นขณะที่ช่างภาพมือโปรรายนี้ ได้เดินทางไปถ่ายภาพภูเขาไฟ"บาร์ดาร์บันก้า"ระเบิด เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม โดยมีภูเขาไฟดังกล่าวเป็นภาพหลัง โดยเจ้าตัวบอกว่า เขาคิดว่า ในขณะที่ภูเขาไฟระเบิด เขาอาจถ่ายภาพดังกล่าวร่วมกับทางช้างเผือก และกลับโชคดีกว่านั้น เพราะฟ้าเปิดโล่งไร้เมฆ และได้เกิดแสงเหนือขึ้นมาอีก ทำให้เขาได้ภาพหายากทั้งสามภาพอยู่ในภาพเดียวกัน และว่า สาเหตุที่เขาเลือกเดินทางไปถ่ายแบบที่ภูเขาไฟดังกล่าวเนื่องจากอยู่ใกล้สก๊อตแลนด์ ซึ่งเป็นที่พำนักของเขา โดยเขาเกิดในโปแลนด์ แต่โตในสก๊อตแลนด์มากว่า 10 ปี

นายมาเชียจกล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมา เขาปลื้มและหลงใหลการถ่ายทำในฐานะงานอดิเรกอย่างมาก โดยเขามีอาชีพหลักเป็นวิศวกรโครงสร้าง และเขาได้เริ่มถ่ายภาพแสงรุ่งอรุณยามเช้าตั้งแต่ปี 2012 ที่สก๊อตแลนด์ และได้ล่าถ่ายภาพลักษณะนี้มาตลอด แต่เขาแทบไม่อยากเชื่อเลยว่า จะสามารถถ่ายภาพมหัศจรรย์ดังกล่าวนี้ได้ ถือว่าเขาโชคดีมากจริงๆ


ภาพและข้อมูลจาก  http://www.matichon.co.th/

วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

6 ภาพปริศนา…ที่ถูกซ่อนไว้ใต้งานศิลปะชื่อก้องโลก


หากใครกำลังคิดว่านี่คือเรื่องราวศิลปะที่น่าเบื่อ หมีขาวขอบอกเลยว่าคุณคิดผิดเข้าแล้ว เพราะสิ่งที่จะนำมาเล่าต่อไปนี้คือปริศนาอันลึกลับที่ใครได้รู้แล้วอาจขนลุกซู่…และหลายคนก็อาจจะตะลึงแน่เมื่อได้เห็นว่าภาพศิลปะชื่อก้องโลกทั้ง 6 ชิ้น แท้จริงมีภาพวาดปริศนาซ้อนทับอยู่เบื้องหลังของพวกมัน!!!
ซึ่งภาพที่ซุกซ่อนเหล่านี้บางชิ้นต้องใช้กระบวนการเอ็กซเรย์ดูจึงจะเห็น ตลอดจนการใช้ความรู้ของนักประวัติศาสตร์ศิลปะเพื่อค้นหาความลับที่ซ่อนอยู่เหล่านี้ ส่วนจะน่าทึ่งแค่ไหน ตามมาชมกันเลยจ้ะ…

ภาพที่1THE KING OF ROME 
ผู้วาด : JEAN-AUGUSTE-DOMINIQUE INGRES


นี่คือภาพวาดรูปนโปเลียนในช่วงปี 1811-1812 ซึ่งหากใครมองผ่านๆก็คงคิดแค่ว่ามันสวยดี แต่แล้วจู่ๆก็มีคนตาดีจ้องไปพบความผิดปกติบนผ้าม่านฝั่งซ้าย ที่เหมือนจะมีใบหน้าคนลอยนูนขึ้นมา
ซึ่งนักประวัติศาสตร์ศิลปะเผยว่าภาพปริศนาดังกล่าวดูคล้ายกับศรีษะของเด็ก และอาจเป็นไปได้ว่าเขาคือหนึ่งในลูกชายของนโปเลียน แต่การที่ภาพของเขาถูกลบเลือนหายไป ก็อาจเกิดขึ้นในช่วงที่นโปเลียนสูญเสียอำนาจในปี 1814 ซึ่งเหตุการณ์นั้นทำให้พ่อลูกคู่นี้ตัดสัมพันธ์ขาดจากกัน
ดังนั้นจึงอาจเป็นไปได้ว่า จิตรกรผู้วาดจึงไม่คิดจะสานต่อวาดรูปบุตรคนนี้ให้สมบูรณ์ เพราะกลัวว่าจะขัดใจนโปเลียนนั่นเอง

ภาพที่2  ผู้หญิงเบื้องหลังภาพ THE OLD GUITARIST 
ผู้วาด : ปาโบล ปิกัสโซ่

ในช่วงปี 1901-1904 ปาโบล ปิกัสโซ่ประสบกับภาวะที่ไส้แห้งสุดชีวิต และ THE OLD GUITARIST คือภาพที่เขาวาดขึ้นในช่วงนั้น แต่หลังจากเวลาผ่านไป ก็ได้มีคนทำการเอ็กซเรย์ภาพดังกล่าว ก่อนจะพบว่าแท้จริงแล้วเบื้องหลังภาพนี้มีหญิงสาวที่กำลังเลี้ยงลูกซ่อนอยู่!!!!
ฉะนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าในเวลานั้น ปาโบล ปิกัสโซ่ไม่มีเงินพอที่จะซื้อกระดาษวาดภาพอันใหม่ จึงตัดสินใจวาด THE OLD GUITARISTทับลงไปแทนที่ (แล้วก็โด่งดังในเวลาต่อมา)


ภาพที่3 The Blue Room 
ผู้วาด : ปาโบล ปิกัสโซ่

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสุดยอดภาพชื่อดังฝีมือปิกัสโซ่ ที่วาดขึ้นมาในช่วงเดียวกับ THE OLD GUITARIST ฉะนั้นชายปริศนาที่สวมแหวนพลางทำท่าครุ่นคิดจึงตกเป็นเหยื่อของพู่กันปิกัสโซ่ ที่ต้องจำใจวาดภาพหญิงสาวในห้องสีฟ้าทับลงไปและทำให้ชายข้างหลังภาพถูกลืมเลือน

ภาพที่4 MADAME X 
ผู้วาด : JOHN SINGER SARGENT



“MADAME X” คือภาพวาดรูปผู้หญิงที่สูงศักดิ์ ดูสง่าและเปี่ยมมนต์ขลัง ซึ่ง JOHN SINGER SARGENT ได้วาดขึ้นโดยมีมาดาม Pierre Gautreau เป็นต้นแบบ และขณะที่วาดเขาอยากทำให้ภาพนี้ดูมีมนต์สะกดยิ่งกว่าเดิม จึงวาดรูป MADAME X ปลดสายตะขอของเสื้อข้างซ้ายออก
แต่แล้วเมื่องานชิ้นนี้ถูกนำไปแสดง นักวิจารณ์ในยุคนั้นก็พูดถึงงานชิ้นนี้ในแง่ลบ จนมาดาม Pierre Gautreau ตัดสินใจหอบเอารูปดังกล่าวออกจากแกลอรี่ ก่อนจะบอกให้ JOHN SINGER SARGENT แก้ไขภาพให้ดูเรียบร้อยกว่าเดิม ซึ่งนั่นทำให้เขาต้องนำตะขอของชุดเดรสกลับมาคล้องบนบ่าตามเดิม


ภาพที่5 WHALE IN BEACH SCENE
ผู้วาด : HENDRICK VAN ANTHONISSEN



นี่คือภาพวาดในศตวรรษที่ 17 ซึ่งแวบแรกดูเหมือนจะเป็นภาพชายหาดธรรมดา แต่แล้วเจ้าของพิพิธภัณฑ์ Fitzwilliam ก็ได้สังเกตพบความผิดปกติว่า…เอ๊ะ ทำไมคนในภาพถึงมายืนรุมกันริมหาด และมีท่าทางเหมือนกำลังมุงดูอะไรบางอย่างอยู่นะ
และเมื่อเขาใช้เทคนิคตรวจสอบดูจึงได้พบว่าภาพชายหาดชิ้นนี้มีศพปลาวาฬสีดำซ่อนอยู่…ซึ่งการค้นพบนี้ก็สอดคล้องกับข้อสันนิษฐานของเขาแบบเต็มๆว่าทำไมคนจึงมายืนริมหาด (น่าทึ่งมาก)
ส่วนเหตุผลที่ต้องปกปิดปลาวาฬเป็นเพราะว่า ในช่วงศตวรรษที่ 18-19 ภาพลักษณะนี้มักถูกนำไปประดับบ้าน และมีความเป็นไปได้สูงว่าภาพการตายของปลาวาฬอาจทำให้บ้านดูหมองหม่น ฉะนั้นจิตรกรจึงต้องทาสีทับเพื่อซ่อนมันไว้ เพื่อให้รูปดูสดใสน่าใช้ตกแต่งบ้านนั่นเองจ้ะ
ภาพที่6 WOMAN AT A WINDOW
ผู้วาด : ไม่ทราบชื่อ



นี่เป็นงานศิลปะที่เจ๋งจนได้รับเกียรติให้แสดงในแกลอรี่แห่งชาติที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยนี่คือภาพวาดที่จิตรกรจงใจวาดผู้หญิงซ้อนทับกันอยู่สองคน (ภาพต้นฉบับคือด้านซ้าย)
ซึ่งเมื่อนักประวัติศาสตร์ศิลปะค่อยๆแกะรอยแบบทีละเลเยอร์ ในที่สุดพวกเขาก็ได้พบกับใบหน้าที่แท้จริงของหญิงที่อยู่ซ่อนอยู่ข้างหลังภาพ ซึ่งเธอมีแววตาที่ดุดันและมีสีหน้าที่ตรงกันข้ามกับหญิงเรียบร้อยในต้นฉบับแบบสุดขั้ว

ภาพและข้อมูลจาก  http://www.meekhao.com/

วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ในที่สุดก็เชื่อ ประสบการณ์หลังเฉียดตาย มีจริง

ทีมแพทย์และนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเซาแธมป์ตัน ในเมืองเซาแธมป์ตัน ประเทศอังกฤษ ใช้เวลานาน 4 ปี ศึกษาวิจัยและเก็บรวบรวมข้อมูลที่ได้จากการตรวจสอบผู้ป่วยจำนวน 2,060 คน ซึ่งป่วยหนักและมีอาการหัวใจหยุดเต้นในโรงพยาบาลต่างๆ รวม 15 โรงพยาบาล ทั้งในประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมริกา และออสเตรีย


ในจำนวนผู้ป่วยที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้้ มีผู้รอดชีวิตจากภาวะดังกล่าว 330 ราย เป็นกลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการสอบถาม ซักประสบการณ์ในช่วงเวลาดังกล่าวอย่างละเอียด
ถือเป็นการศึกษาวิจัยทางการแพทย์ต่อภาวะ “เฉียดตาย” และ “ประสบการณ์นอกร่างกาย” ครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยทำกันมาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์
นายแพทย์ แซม พาร์เนีย อดีตนักวิจัยรับเชิญประจำมหาวิทยาลัยเซาแธมป์ตัน ซึ่งปัจจุบันเป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยนิวยอร์กสหรัฐอเมริกา หัวหน้าทีมวิจัยครั้งนี้ สรุปผลการวิจัยเอาไว้ว่า ทีมวิจัยพบว่ามีกลุ่มตัวอย่างเกือบ 40 เปอร์เซ็นต์ที่รอดชีวิตจากภาวะการณ์ดังกล่าว หรือราว 140 คน บอกเล่าถึงประสบการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าคนเหล่านั้น “มีความรู้สึกตัว” บางอย่างคงอยู่
หลังจากที่ในทางการแพทย์ถือว่าคนเหล่านั้นเสียชีวิตแล้วเพราะหัวใจหยุดเต้น ก่อนที่จะได้รับการปั๊มหัวใจรอดชีวิตขึ้นมาใหม่
หนึ่งในจำนวนนั้นเป็นชายชาวเมืองเซาแธมป์ตัน วัย 57 ปี ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์บอกว่า จำได้ว่าออกจากร่างกายตัวเอง แล้วไปหยุดมองหมอและพยาบาล พยายามทำให้ตัวเองฟื้นคืนชีพอยู่ตรงมุมห้อง ทั้งๆ ที่ชายผู้นี้หัวใจหยุดเต้นและในทางการแพทย์ถือว่า “ตาย” ไปแล้ว เป็นเวลา 3 นาที ที่ทีมวิจัยสามารถคำนวณระยะเวลาที่เขาเสียชีวิตไปได้
เนื่องจากชายผู้นี้จำรายละเอียดได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งเสียงของเครื่องมือแพทย์ชิ้นหนึ่ง ซึ่งจะส่งเสียง ปิ๊ด ทุกๆ 3 นาที เขาจำได้ว่าเขาได้ยินเสียงปิ๊ด 2 ครั้งด้วยกัน
นายแพทย์ พาร์เนีย ระบุว่า ในทางการแพทย์นั้นเมื่อหัวใจหยุดเต้น สมองจะไม่สามารถทำงานต่อไปได้และจะปิดการทำงานทั้งหมดลงตามมาภายใน 20-30 วินาที แต่ในกรณีของชายผู้นี้ ความรู้สึกสำนึกดูเหมือนจะยังคงอยู่หลังจากนั้นไปแล้วนานถึง 3 นาที หลังจากการหยุดเต้นของหัวใจ
นอกจากนั้น ยังสามารถให้รายละเอียดของทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้องได้ ทั้งยังได้ยินเสียงอีกต่างหาก ทั้งนี้ นายแพทย์ พาร์เนียพูดถึงชายผู้นี้ว่า น่าเชื่อถือมาก และจากการตรวจสอบกับทีมหมอ-พยาบาล ทุกอย่างที่เขาบอกว่าเกิดขึ้น เกิดขึ้นจริงในห้วงเวลาดังกล่าว
ในขณะที่มีอีกหลายคนมากที่ไม่สามารถย้อนรำลึกถึงรายละเอียดจำเพาะที่เกิดขึ้นได้ แต่โดยรวมแล้วผู้ที่มีประสบการณ์ทำนองนี้มักบอกเล่าออกมาคล้ายๆ กัน ที่พบทั่วไปอย่างหนึ่งคือ พวกเขารู้สึกถึงความสงบอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
ส่วนอีกราว 1 ใน 3 บอกว่า เวลาสำหรับพวกเขาในเวลานั้นเปลี่ยนไปจากภาวะปกติ ถ้าไม่ช้าลงก็เร็วขึ้นจนรู้สึกได้ บางคนบอกถึงการได้เห็นแสงสว่างจ้าเหมือนแสงสีทองจ้าของดวงอาทิตย์ คนอื่นๆ เล่าถึงความรู้สึกกลัว หรือรู้สึกเหมือนกำลังจมน้ำ
 หรือกำลังถูกฉุดลากผ่านน้ำลึกๆ 13 เปอร์เซ็นต์บอกว่า รู้สึกได้ว่าถูกแยกออกจากร่างกาย และ 13 เปอร์เซ็นต์ของผู้รอดตายเช่นกันที่ระบุว่า ประสาทสัมผัสต่างๆ ของตนไวและละเอียดอ่อนขึ้นมาก
นายแพทย์ เดวิด ไวลด์ นักวิจัยด้านจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัยนอตติงเเฮม เทรนท์ ชี้ว่า รายงานการศึกษาดังกล่าวถือเป็นหลักฐานที่ดีอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่ามี ประสบการณ์บางอย่างเกิดขึ้นจริงหลังจากที่คนเราถือว่าตายไปแล้วทางการแพทย์

นักวิทยาศาสตร์ทั้งสองสรุปเหมือนๆ กันว่า ผลการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้จำเป็นต้องมีการศึกษาให้ลึกซึ้งต่อไป
ภาพและข้อมูลจาก http://www.dodeden.com/

วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ถึงคราวเคราะห์ ถังส้วมระเบิด ขณะกำลังปลดทุกข์


เมื่อ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 มติชนออนไลน์ รายงานว่าเด็กชายวัยสิบปีต้องเสียชีวิต
หลังได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงที่ศีรษะ จากการระเบิดของถังส้วมสาธารณะ 

เด็กชายผู้เคราะห์ร้ายจากเมืองธาเน รัฐมหาราษฏระประเทศอินเดีย เล่นอยู่กับเพื่อน
ก่อนเข้าไปใช้ห้องน้ำสาธารณะในเวลาราวสองทุ่มของคืนวันพุธ


แต่นับเป็นคราวเคราะห์ของเขา เมื่อบ่อเกรอะเกิดระเบิดขึ้นข้างๆ ส้วมที่เขาเข้าไปใช้
ทำให้เขาบาดเจ็บอย่างร้ายแรง เพราะฝาบ่อกระแทกเขาอย่างจังการระเบิด ซึ่งเกิดขึ้น
เนื่องจากก๊าซที่สะสมอยู่ในบ่อเกรอะ 

ขณะที่ เจ้าหน้าที่เทศบาลเมืองธาเนแจ้งว่าได้รับแจ้งเหตุเมื่องเวลาประมาณสองทุ่มครึ่ง
ในคืนดังกล่าว จากการตรวจสอบระบบไหวเวียนอากาศของบ่อเกรอะถูกปิดด้วยกองขยะ
ส่งผลให้มีก๊าซสะสมเป็นปริมาณมากทำให้มีแรงดันสูงจนเกิดการระเบิดขึ้น

เอ้า ใครเข้าส้วมก็ระวังกันไว้บ้างก็ดีโดยเฉพาะส้วมเก่าๆ น่ากลัวอยู่  อาจจะเกิดเรื่องเศร้า
แบบนี้ก็ได้

Cr: http://www.matichon.co.th/

พบประตูสู่มิติ(Fallstreak Hole)บนท้องฟ้าออสเตรเลีย



เมื่อวันที่4 พฤศจิกายน 2557 รายงานว่า เว็บไซต์ 9News ของออสเตรเลีย รายงานว่า
ชาวออสเตรเลียพากันตกตะลึง เมื่อท้องฟ้าเกิดปรากฏการณ์คล้ายกับหลุมขนาดใหญ่
ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเหนือน่านฟ้ารัฐวิคตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย เมื่อเวลา
ประมาณ 13.00 น. ของวันที่ 3 พฤศจิกายน ตามเวลาท้องถิ่น ท้องฟ้าที่มีเมฆปกคลุม
เบาบางได้ปรากฏหลุมขนาดใหญ่ คล้ายกับเป็นประตูเชื่อมมิติในหนัง และมีสีรุ้งแซม
อยู่ภายในด้วยทั้งนี้ 





สำหรับปรากฏการณ์ดังกล่าว เรียกว่าปรากฏการณ์ฟอลสตรีก โฮล (Fallstreak Hole)
เกิดขึ้นจากอุณหภูมิของน้ำในชั้นบรรยากาศอยู่ในระดับต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง แต่น้ำกลับ
ไม่อาจกลายเป็นน้ำแข็งได้ทันที และค่อย ๆ ก่อตัวเป็นผลึกใส ร่วงลงมาใต้ชั้นเมฆ
ทำให้เกิดเป็นหลุมใหญ่โผล่ขึ้นท่ามกลางเมฆบาง ๆ บนท้องฟ้า

                       



ข้อมูลจาก http://www.nationtv.tv/

11 เส้นแบ่งดินแดนระหว่างประเทศ

เรามาดูเส้นแบ่งดินแดนของแต่ละประเทศที่เห็นชัดเจนทั้งที่เป็นธรรมชาติและ
สิ่งท่ีมนุษย์สร้างขึ้น เรามาดูกัน

รูปที่ 1 น้ำตกอีกัวซู (Iguazu Falls) ที่กั้นระหว่างอาร์เจนติน่าและบราซิล





รูปที่ 2   แม่น้ำปารานา(สเปนRío ParanáโปรตุเกสRio Paraná)เป็นแม่น้ำที่
            เป็นทางสามแพ่งซึ่ง
แบ่งแยกอาร์เจนติน่า บราซิล และปารากวัย ออกจากกัน



รูปที่ 3   ทางซ้ายคือบราซิล ส่วนทางขวาที่ยังมีป่าดิบชื้นอุดมสมบูรณ์คือโบลิเวีย


รูปที่ 4  บริเวณชายแดนของจีนและมาเก๊า ซึ่งจีนขับรถด้านขวาแต่มาเก๊าขับรถ
            ด้านซ้าย ดังนั้นเมื่อจะขับรถข้ามไปมาระหว่าง 2 ที่นี้จึงต้องทำทางวนๆ
           ไว้เปลี่ยนฝั่งถนน



รูปที่ 5   พรมแดนระหว่างเยอรมนีกับเชก   บริเวณนี้แยกกันได้จากต้นไม้ เพราะเยอรมนี
             จะดูแลต้นไม้ดี แต่ทางเชกไม่ได้สนใจต้นไม้ตรงชายแดนนี้เลย



รูปที่ 6  ระหว่างพรมแดน ทางฝั่งที่ไม่ค่อยเหลือต้นไม้คือเฮติ
             ส่วนฝั่งที่มีต้นไม้เยอะๆ คือโดมินิกัน


ภาพอีกมุมหนึ่งของเฮติและโดมินิกัน

รูปที่ 7  ระหว่างพรมแดน ถ้ามองจากข้ารงบนจะเห็นด้านเกาหลีเหนือจะมืดสนิท
            ยกเว้นที่เปียงยางเมืองหลวงของประเทศ ส่วนเกาหลีใต้จะสว่างจ้า


รูปที่ 8  ระหว่างพรมแดน จะเห็นว่าฝั่งที่ถนนพังคือเบลเยี่ยม ส่วนอีกฝั่งคือเนเธอร์แลนด์



รูปที่ 9    ระหว่างพรมแดนจะพบว่าชายแดนสหรัฐอเมริกานั้นจะเจริญกว่าอีกด้าน
               ซึ่งก็คือเม็กซิโก



รูปที่ 10    ระหว่างพรมแดนมีภูเขาโรไรม่าทีกั้นระหว่าง 3 ประเทศ คือเวเนซูเอล่า
                บราซิล และกายอาน่า


รูปที่ 11   ระหว่างพรมแดนจะเห็นว่าฝั่งที่ถนนดีเหมือนถนนใหญ่คือสเปน ส่วนฝั่ง
                ที่เหมือนถนนนอกเมืองคือโปรตุเกส ซึ่งโปรตุเกสนี้จะขึ้นชื่อเรื่องถนน
                ที่ไม่ค่อยจะดีนัก


ภาพและข้อมูลจาก http://www.wegointer.com/






วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เหลือเชื่อ หนุ่มฝรั่งเศส รอดตายหลังรถคว่ำ แต่กลับตาย

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เกิดเหตุสลด เมื่อหนุ่มฝรั่งเศสรายหนึ่งต้องเคราะห์ร้าย
เสียชีวิต ทั้งที่เพิ่งรอดชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์ เมื่อเขาถูกภรรยาที่ขับรถมายังที่เกิดเหตุ
พุ่งชนเขาเสียชีวิตอย่างเหลือเชื่อ





รายงานระบุว่า ในเหตุการณ์ดังกล่าว หนุ่มใหญ่เมืองน้ำหอมวัย 54 ปี กำลังขับรถอยู่กับลูกสาววัย 16 ปี ก่อนที่เขาจะตีโค้งบนถนนแห่งหนึ่ง ในเมืองคาร์วิลล์ ทางตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศส โดยรถยนต์ได้พุ่งออกนอกถนนและพลิกคว่ำหลายตลบ ก่อนที่รถจะมาถึงคูน้ำ ต่อมา เขาและลูกสาวได้คลานออกจากรถยนต์ที่พลิกคว่ำโดยที่ร่างกายไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ และได้โทรศัพท์เรียกภรรยาให้มารับ


อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์กลับปรากฎว่า เมียของเขาได้รีบบึ่งรถยนต์มายังที่เกิดเหตุ และพลาดขับรถออกจากโค้งดังกล่าวเหมือนกับสามี และรถเธอเสียการควบคุมและกลิ้งไปชนสามี ทำให้เขาตายทันที ขณะที่ภรรยาและลูกสาวได้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยมีอาการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย



ภาพจาก http://www.opposingviews.com/ ข้อมูลจาก http://www.matichon.co.th/