วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ผู้มาจากอนาคตMAN FORM THE FUTURE

ลายสิบปีที่ผ่านมา มีข่าวลือมากมายถึงเรื่องมนุษย์จากอนาคต ปรากฏกายขึ้นในโลกปัจจุบัน
หรือช่วงเวลาที่เป็นอดีตกาลของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นจอห์น ไตเตอร์ นายทหารจากโลกอนาคต
เดินทางย้อนเวลาตามหาเครื่องคอมพิวเตอร์ IBM รุ่นแรก แอนดรูว์ คาร์ลส์ซิน ผู้ใช้ความรู้
ทางประวัติศาสตร์สร้างผลกำไรมหาศาลจากตลาดหุ้นและการลงทุน หรืออีลอย โคล
เดินทางมายับยั้งการทดลองการสร้างหลุมดำจำลองที่นำไปสู่หายนะของโลกในอนาคต

เรื่อง เล่าของคนเหล่านั้นเป็นที่กังขาของคนส่วนใหญ่เพราะขาดวัตถุหลักฐาน ยืนยัน
จนกระทั่งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมามีคนสังเกตเห็นสิ่งผิดปรกติในภาพ ถ่ายอายุ 70 ปี
ของพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งในประเทศแคนาดา เป็นภาพคนแต่งกายทันสมัยถือกล้องถ่ายภาพ
ขนิดพกพายืนอยู่ท่ามกลุ่มคนและภาพ นี้ได้รับการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญแล้วว่าเป็น
ภาพถ่ายจริงที่ไม่ผ่านการตบ แต่งแต่อย่างใด
             
คอมพิวเตอร์กู้โลก

จอห์น ไตเตอร์ (John Titor) ปรากฏตัวเป็นครั้งแรกในห้องพูดคุยสาธารณะแห่งหนึ่ง
บนอินเทอร์เน็ต เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2000 โดยครั้งแรกเขาได้ลงทะเบียนชื่อว่า
 “Timetravel_0” และได้เปลี่ยนไปใช้ชื่อ “John Titor” ในภายหลัง

แน่ นอนว่าชื่อ John Titor เป็นนามแฝง John เป็นชื่อสามัญเหมือนกับชื่อ สมชาย ของคนไทย
ส่วน Titor เป็นคำย่อของคำว่า Time Travelor โดยเล่นคำสะกดพยางค์สุดท้าย Travelor
ด้วย or แทนที่จะเป็น Traveler สะกดด้วย er

เขา ออกตัวว่าเป็นผู้ที่เดินทางมาจากอนาคตเมื่อปี 2036 ด้วยเครื่องย้อนกาลเวลาที่ผลิตขึ้น
ในปี 2034 โดยบริษัท GE (General Electronic) เพื่อพิสูจน์ว่าคำพูดของเขาเป็นความจริง
จอห์นได้โพสต์ภาพถ่ายเครื่องย้อนกาลเวลา (Time Machine) และคู่มือการใช้งานเครื่องให้
ทุกคนได้เห็น 

แน่นอนว่าผู้คนที่เข้าร่วม วงสนทนาไม่เชื่อน้ำมนต์ของนายจอห์น ไตเตอร์ หลายคนพยายาม
ยิงคำถามต่างๆนานาเพื่อจับผิดเขา แต่ดูเหมือนจอห์นจะสามารถตอบคำถามเหล่านั้นได้ทั้งหมด
แถมยังสอนมวยกลับมายังคนลองภูมิอีกด้วย

หลายๆคำถามที่จอห์น ไตเตอร์ ยิงกลับมายังผู้ร่วมสนทนา ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังพูดถึงอะไร
แต่เมื่อไปค้นคว้าดูในภายหลังพบว่ามันล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับฟิสิกส์ชั้น สูงทั้งสิ้น อีกทั้ง
คำเตือนเรื่องจะเกิดการแพร่ระบาดของโรคสมองฝ่อ (Mad Cow Disease) ได้เกิดขึ้นจริงใน
ปี 2001 ทำให้หลายคนชักจะลังเล

ร่ำรวยด้วยความรู้ประวัติศาสตร์


เดือน มกราคม 2003 หนังสือพิมพ์วีคลีย์เวิลด์ด์นิวส์ (Weekly World News) ตีพิมพ์ข่าว
เจ้าหน้าที่ FBI บุกจับกุมตัวแอนดรูว์ คาร์ลส์ซิน (Andrew Carlssin) วัย 44 ปี ในข้อหานำ
ข้อมูลลับภายในไปแสวงหาผลประโยชน์ในตลาดหลักทรัพย์


สำนักงานคณะกรรมการ กำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (Security and Exchange
Commission) ได้แจ้งความดำเนินคดีกับนายแอนดรูว์ โดยสงสัยว่าเขานำข้อมูลลับของบริษัท
มหาชนต่างๆในตลาดหลักทรัพย์ไปแสวงหาผล ประโยชน์ให้กับตนเอง เพราะแอนดรูว์สร้าง
ความร่ำรวยในเวลาเพียงชั่วพริบตาด้วยการลงทุนเพียง 800 ดอลลาร์ซื้อหุ้นต่างๆแล้วขายออกไป
 นำเงินที่ได้กลับมาซื้อหุ้นตัวใหม่แล้วทำชอร์ตเซลขายออกไปอีกครั้ง ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
จนเงินทุนเริ่มต้น 800 ดอลลาร์เพิ่มพูนขึ้นเป็น 350 ล้านดอลลาร์ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น


แอ นดรูว์รับสารภาพโดย ให้การว่าเขามีข้อมูลว่าหุ้นตัวไหนจะขึ้นในช่วงเวลานั้น เพราะเขามาจาก
โลกอนาคตในปี 2556 เขาเพียงศึกษาประวัติศาสตร์ข้อมูลทางเศรษฐกิจ นำความรู้ที่ได้ติดตัว
เดินทางย้อนอดีตมาในช่วงเวลาดังกล่าวเพื่อช้อนซื้อ หุ้น

เดิมทีนั้นเขาตั้งใจจะลงทุนแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไป ไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต หากแต่ความโลภ
ทำให้เขาหักห้ามใจไม่อยู่ เทเงินที่หามาได้ในช่วงแรกๆลงทุนซื้อหุ้นที่เขารู้อยู่แล้วว่ามันจะมีราคา
สูงขึ้น จนกระทั่งไปสะดุดตาเจ้าหน้าที่สำนักงาน ก.ล.ต.


หายตัวอย่างลึกลับ

แอ นดรูว์หายตัวไปอย่างลึกลับระหว่างที่ตำรวจควบ คุมตัวขึ้นศาลพร้อมกับข่าวคราวการจับกุม
ตัวเขา ไม่มีสื่อใดๆเสนอข่าวนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามไปยังสำนักงาน ก.ล.ต. และ FBI เจ้าหน้าที่
ทุกคนล้วนปฏิเสธตรงกันว่าไม่เคยได้ยินชื่อแอนดรูว์ คาร์ลส์ซิน มาก่อน

ปี 2006 แอนดรูว์โผล่ออกมาให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์วีคลีย์เวิลด์ด์นิวส์อีกครั้ง เขาไม่ยอม
เปิดเผยว่าสามารถเล็ดลอดจากการควบคุมตัวมาได้อย่างไร โดยบอกแต่เพียงว่าตอนนี้เขา
ทำงานบริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแห่งหนึ่งใน แคนาดา

เช่นเคย เขาใช้ข้อมูลที่เป็นประวัติศาสตร์ในยุคสมัยเขาล่วงรู้ว่า “ทรายน้ำมัน” (Tar Sands)
เป็นแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ที่จะมาทดแทนบ่อน้ำมันตามที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะ
ทรายน้ำมันอัลเบอร์ตา (Alberta Tar Sands) ของประเทศแคนาดาเพียงแห่งเดียว สามารถ
ผลิตน้ำมันได้มากถึง 3 แสนล้านบาร์เรล 
การ รีดน้ำมันออกมาจากทรายนั้นไม่ง่ายเหมือนกับการขุดเจาะน้ำมันทั่วๆไป เขาต้องสร้าง
เครื่องมือพิเศษที่เรียกว่า “คาร์ลส์ซินนิซิตี้” (Carlssinicity) เพื่อใช้ในการแยกน้ำมันดิบออก
จากทราย โดยมีค่าใช้จ่ายเพียง 1 ดอลลาร์ต่อ 1 บาร์เรลเท่านั้น

เป็นที่น่าสังเกตว่ามีเพียงหนังสือ พิมพ์วีคลีย์เวิลด์ด์นิวส์เท่านั้นที่ลงเรื่องราวของแอนดรูว์
คาร์ลส์ซิน และหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ได้รับสมญานามว่าเป็นหนังสือพิมพ์ประเภทลงข่าวโคมลอย
เพื่อความบันเทิง (Entertainment Tabloid) อย่างไรก็ตาม มันเป็นความบังเอิญอย่างน่าประหลาด
ที่ต่อมาในปี 2008 สำนักงานพลังงานหลายแห่งทั่วโลกยอมรับว่าสามารถแยกน้ำมันดิบออกจาก
ทราย น้ำมันได้จริง ซึ่งมันจะเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญในอนาคต และ ทรายน้ำมันอัลเบอร์ตา
เป็นหนึ่งในแหล่งพลังงานที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง 

หยุดยั้งโครงการหลุมดำ

เมื่อ ไม่กี่วันที่ผ่านมา หน่วยรักษาความปลอดภัยองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศในทวีปยุโรป
สามารถจับ กุมตัวอีลอย โคล (Eloi Cole) ระหว่างพยายามก่อวินาศกรรมเครื่องเร่งอนุภาค
ขนาดใหญ่ (Large Hardon Collider) ของห้องทดลองเซิร์น (European Organization for
Nuclear Research; CERN) ซึ่งกำลังทำการทดลองสร้างหลุมดำจำลอง (Black Hole)

อี ลอยให้การว่าเขาลอบเข้ามาในห้องทดลองเพื่อหาแหล่งพลังงานให้กับเครื่องเดิน ทางข้าม
เวลาของเขา และเตือนว่าการทดลองสร้างหลุมดำจำลองนี้นำไปสู่การสร้างแหล่งพลังงานที่มี
อย่างไม่จำกัดในอนาคตอันเป็นการนำไปสู่หายนะของโลกในที่สุด

อีลอยยัง บอกอีกด้วยว่าเขาเองเป็นคนที่ก่อวินาศกรรมเครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่ เมื่อเดือน
พฤศจิกายน 2009 ทำให้เครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่มีอุณหภูมิสูงขึ้นจนอาจก่อให้เกิดอันตราย
ทำให้นักวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องหยุดการเดินเครื่องชั่วคราว

เหตุการณ์ ในครั้งนั้นนักวิทยาศาสตร์พบว่าต้นเหตุคือเศษขนมปังชิ้นเล็กๆหลุด เข้าไป เครื่อง
เร่งอนุภาคขนาดใหญ่ โดยเข้าใจว่ามีนกคาบเศษขนมปังบินผ่านเครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่
แล้วทำเศษขนม ปังหล่นลงมา

ระหว่างที่อีลอยถูกควบคุมตัวในห้องขังเพื่อรอการส่งตัว ไป ยังสถานบำบัดโรคทางจิต เขาก็
หายตัวไปอย่างลึกลับบนสถานีตำรวจกลางกรุงเจนีวานั่นเอง 
หลักฐานชิ้นสำคัญเดือน กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พิพิธภัณฑ์ Bralorne Pioneer Museum ได้แสดงนิทรรศการภาพถ่าย
เล่าเรื่องราวเหตุการณ์ในอดีตผ่านทางภาพถ่ายโดยหนึ่งในภาพถ่ายนั้นเป็นภาพกลุ่มคนมุงดู
เหตุการณ์น้ำท่วมในปี 1941
 

ท่ามกลางฝูงชนในภาพ มีชายคนหนึ่งแต่งกายผิดแผกแตกต่างไปจากผู้คนในยุคสมัยนั้น
โดยเขามีทรงผมล้ำสมัย สวมแว่นตาดำ ใส่เสื้อยืดสวมเสื้อแจ๊กเกตทับ อันเป็นแฟชั่นในยุค
ปัจจุบัน ไม่ใช่เมื่อ 70 ปีก่อน แต่ที่สำคัญกว่าการแต่งกายคือชายคนนี้ถือกล้องถ่ายรูปพกพา
ที่ยังไม่ผลิตออก จำหน่ายในสมัยนั้น

ภาพ ถ่ายใบนี้เป็นภาพถ่ายโบราณของพิพิธภัณฑ์ Bralorne Pioneer Museum ไม่ใช่ภาพถ่าย
ทั่วๆไปที่คนมือบอนจะนำตบแต่งด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้ อีกทั้งผู้เชี่ยวชาญทางคอมพิวเตอร์
กราฟิคได้พิสูจน์แล้วว่าภาพนี้เป็นภาพ ถ่ายจริงที่ไม่ผ่านการตบแต่ง มันจึงถูกกล่าวขานว่า
เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่พิสูจน์ว่ามีคนจากอนาคตเดินทาง ย้อนเวลามาสู่อดีตจริง


ภาพถ่ายภาพนี้จึงกลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ใน สังคมอินเทอร์เน็ตตั้งแต่กลางเดือนเมษายน
ที่ผ่านมา หลายคนพยายามสืบค้นว่าบุคคลแปลกปลอมในภาพถ่ายเป็นใคร มาจากไหน ในขณะ
เดียวกันผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องการเดินทางย้อนเวลาก็พยายามหาข้อมูลมาหัก ล้าง ซึ่งผลการดีเบต
ระหว่างคน 2 ฝ่ายนี้จะเป็นอย่างไรเราก็ต้องคอยติดตามข่าวกันต่อไป

เพิ่มเติมรายละเอียดเล็กน้อยโดย ข้าพเจ้า
สรุปนะครับ
ถ้า John Titor ย้อนเวลามาจริง มนุษย์จะผลิตเครื่องย้อนเวลาได้ภายในปี 2034
ตามที่ John Titor บอกไว้แน่นอน เพราะเค้าได้ทิ้งภาพโครงสร้างเครื่องย้อนเวลาไว้ให้แล้ว
พอค้นชื่อ John Titor
พบว่าเป็นคนเข้าเว็ปบอร์ดในอเมริกา ปี ๒๐๐๑ อ้างว่ามาจากอนาคตด้วยไทม์มะชีน
ไปปี ๑๙๗๕ เพื่อมาหาชิ้นส่วนของ IBM mainframe 5100 เพื่อเอากลับไปซ่อมคอม
ในปีของเขาเพิ่งเสร็จภาระกิจ จึงแวะมาปี ๒๐๐๑ เพื่อทำธุระกับพ่อแม่ตนเองที่ฟลอริด้า
เขาเกิดปี ๑๙๙๘
ดังนั้นในการเยี่ยมบ้านที่ฟลอริด้าจึงได้พบตัวเองตอนมีอายุ ๓ ขวบ

เขาตอบคำถามต่างๆ แต่ส่วนใหญ่คนถามผลฟุตบอลล์และให้เก็งสต็อค ซึ่งเขาไม่ทำ
ถามภัยพิบัติ เขาไม่บอก บอกว่าไม่สามารถแทรกแซงกรรมของมนุษย์ได้
แต่บอกว่าในปี ๒๐๑๑ มีสงครามกลางเมืองในอเมริกา
(จำได้ไหมใครเคยว่าดวงการเมืองเรากับอเมริกาคล้ายกัน เพราะอยู่กันด้านตรงข้ามโลก 
หรือคำทำนายของหมอบางคนจะจริง)
แล้วก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๓
เมืองใหญ่ในอเมริกาถูกทำลายหมด ยุโรปเละ ที่อื่นไม่ทราบ
คนอเมริกันตายไป ๑๕๐ ล้านคน (ประชากรใน กพ ๒๐๑๐ มี ๓๐๘ ล้านคน)
หายไปครึ่งหนึ่ง

ในปี ๒๐๓๖ อากาศเป็นพิษ สิ่งที่มีค่ามากที่สุดคือน้ำสะอาดที่ไม่มีกัมมันตรังสี
ผู้คนเห็นความตายเป็นเรื่องปรกติ ไม่มีไฟฟ้า เว้นแตjแบตเตอรี่ ๑๒ โวลต์
มีรถเต็มไปหมดแต่ไม่มีคนขับ
ต้องปลูกอาหารกินเอง ทอผ้าใช้เอง
ไม่ต้องเรียนสูงๆ แล้ว มาเรียนปลูกผัก ทอผ้า ฯลฯ

ดูดีๆครับ จะมีคนพูด คุยโทรศัพท์ อยู่นะ ซึ่งยุคนั้น โทรศัพท์ ยังไม่มีออกมาเลย คงรู้นะ
ชาลี เกิดเมื่อ 16 April 1889 – 25 December 1977
มือถือเครื่องแรกเกิดเมื่อ 3 เมษายน พ.ศ. 1973 ซึ่งห่าง กันมากครับ และ ถ้ามีจริง 
ก็คงเห็นเครื่องใหญ่มากที่เขาถือน่ะ


หมายเหตุ โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน
ภาพและข้อมูลจาก http://board.postjung.com และhttp://mcfc.in.th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น